หนึ่งวันย้อนเวลาที่ Kawagoe เมืองเก่าแห่งเอโดะ
อังกูร วงศ์เมสสิยาห์
การเดินทางครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรม GPBL ที่ทำให้มีโอกาสได้ออกนอกโตเกียวไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่ซ่อนเสน่ห์ทางประวัติศาสตร์ไว้อย่างเต็มเปี่ยม เมืองนั้นคือ Kawagoe หรือที่ผู้คนรู้จักกันในชื่อ “Little Edo” เมืองนี้ตั้งอยู่ในจังหวัดไซตามะ ใช้เวลาเดินทางเพียงไม่ถึงชั่วโมง แต่กลับทำให้รู้สึกเหมือนข้ามกาลเวลาไปสู่ญี่ปุ่นยุคเอโดะที่ยังคงมีชีวิตอยู่ ทันทีที่ก้าวลงจากรถไฟ สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือบรรยากาศที่แตกต่างจากโตเกียว Kawagoe ไม่ใช่เมืองใหญ่จอแจ แต่เต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนที่ยังคงรูปแบบดั้งเดิมไว้ได้อย่างน่าทึ่ง ถนนสายแคบที่ปูด้วยหิน ร้านค้าเล็ก ๆ ที่ตกแต่งเรียบง่ายแต่แฝงกลิ่นอายโบราณ ทำให้รู้สึกตื่นเต้นราวกับกำลังจะก้าวเข้าสู่ฉากภาพยนตร์ย้อนยุค ที่สถานีมีบริการแผนที่ภาษาไทยด้วย ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยอย่างรู้สึกสะดวกขึ้นมาก และนี่ก็เป็นสัญญาณแรกที่บอกว่าเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ต้อนรับผู้มาเยือนจากทั่วโลก
Kurazukuri Street: ถนนบ้านพ่อค้าเก่า
ถนน Kurazukuri คือหัวใจของ Kawagoe อาคารโกดังเก่าที่สร้างจากดินและไม้ยังคงยืนหยัดเรียงรายสองฝั่งถนน บางแห่งเปิดเป็นร้านขายของฝาก ร้านขายขนมญี่ปุ่น หรือคาเฟ่เล็ก ๆ ที่ซ่อนมุมสงบไว้ด้านใน ทุกย่างก้าวบนถนนนี้ทำให้รู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปสมัยที่พ่อค้าคนญี่ปุ่นยังคงใช้โกดังเหล่านี้เก็บสินค้าเพื่อค้าขาย สิ่งที่น่าสนใจคือแม้กาลเวลาจะผ่านไปนับร้อยปี แต่ผู้คนในปัจจุบันยังคงใช้ชีวิตร่วมกับอาคารเหล่านี้อย่างเป็นธรรมชาติ ความร่วมสมัยระหว่างอดีตและปัจจุบันปรากฏอยู่ตรงหน้าระหว่างร้านขายขนมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่อยู่ข้าง ๆ ร้านกาแฟสมัยใหม่ มันคือการปรับตัวอย่างน่าทึ่งที่ยังคงรักษารากเหง้าเอาไว้ได้

Bell of Time (Toki no Kane)
ถัดมาไม่นานก็ได้เจอกับแลนด์มาร์กสำคัญของเมือง หอระฆัง Toki no Kane สัญลักษณ์คู่ Kawagoe ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางอาคารสไตล์เอโดะ เสมือนเป็นเสาหลักที่คอยบอกเล่าเรื่องราวของเมืองมาอย่างยาวนาน ระฆังนี้ยังคงถูกตีวันละสี่ครั้ง เช้า เที่ยง บ่าย และเย็น เสียงระฆังที่กังวานออกมาดังก้องไปทั่วเมืองเหมือนดังที่เคยเป็นในอดีต แต่ละเสียงที่ดังขึ้นไม่ใช่เพียงเครื่องหมายของเวลา หากแต่เป็นเสียงสะท้อนที่ผูกอดีตและปัจจุบันเข้าด้วยกัน การได้ยืนฟังเสียงระฆังท่ามกลางบรรยากาศเมืองเก่าเช่นนี้ เป็นประสบการณ์ที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง รู้สึกเหมือนได้หยุดเวลาไว้ชั่วขณะ ราวกับทุกเสียงรถ เสียงผู้คน และความวุ่นวายรอบตัวหายไป เหลือเพียงเสียงระฆังที่ดังกังวานคล้ายกำลังบอกเล่าความทรงจำจากบรรพบุรุษให้คนรุ่นปัจจุบันได้รับฟัง ความรู้สึกนี้ทำให้ตระหนักถึงคุณค่าของการอนุรักษ์สิ่งเก่า เพราะมันไม่ได้เป็นเพียงสิ่งปลูกสร้างหรือวัตถุ แต่คือ “ความทรงจำร่วม” ของผู้คนทั้งเมืองที่ยังคงหายใจอยู่ในปัจจุบัน ในช่วงเวลานั้นเอง เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเสียงระฆัง Toki no Kane ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของ Kawagoe แต่เป็นสัญลักษณ์ของการรักษาอดีตให้คงอยู่ และเป็นเสียงที่เตือนให้เรารู้ว่าประวัติศาสตร์ไม่เคยหายไปไหน มันยังคงอยู่รอบตัวเราเสมอ เพียงแค่เราจะเลือกฟังหรือไม่เท่านั้น

Zaru soba โซบะเย็น
หลังจากเดินเล่นท่ามกลางอากาศร้อน ๆ ของญี่ปุ่นในช่วงกลางวัน การได้หยุดพักแล้วลิ้มลองอาหารพื้นบ้านอย่าง Zaru Soba ถือเป็นความสุขที่เรียบง่ายแต่เติมเต็มได้อย่างน่าอัศจรรย์ เส้นโซบะสีเข้มที่ทำจากแป้งบัควีทถูกจัดเสิร์ฟมาในกระจาดไม้ไผ่แบบดั้งเดิม ราดด้วยน้ำแข็งเย็น ๆ เพื่อคงความสดใหม่ เสิร์ฟคู่กับซอส ทซึยุ ที่ปรุงจากโชยุและดาชิ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยมาก่อนที่ตะเกียบจะคีบเส้นแรกขึ้นมา ทันทีที่ได้จุ่มเส้นลงไปในถ้วยซอสเย็นแล้วลิ้มรส ความเหนียวนุ่มของเส้นโซบะที่ตัดกับรสกลมกล่อมเค็มนิด หวานหน่อย และมีรสอูมามิชัดเจนจากปลาแห้ง ทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นทันตา คำแล้วคำเล่าที่ไหลลงคอในบรรยากาศร้อนอบอ้าว กลับกลายเป็นความสุขที่ยากจะบรรยาย จนต้องร้องออกมาว่า “UMAI!!” อย่างไม่รู้ตัว
โซบะเย็นไม่ใช่เพียงอาหารกลางวันธรรมดา แต่ยังเป็นประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นที่รู้จักปรับตัวกับฤดูกาล รสชาติที่เรียบง่าย กลับซ่อนความพิถีพิถันของคนทำที่ตั้งใจให้ทุกคำเต็มไปด้วยความสดชื่นและความหมาย การได้ลิ้มลอง Zaru Soba ท่ามกลางเมืองเก่าอย่าง Kawagoe จึงเหมือนเป็นการผสานรสชาติของปัจจุบันเข้ากับบรรยากาศของอดีตได้อย่างลงตัว

Kawagoe Matsuri Museum
ถัดจากถนนหลักที่คึกคัก เราได้แวะเข้าไปยัง พิพิธภัณฑ์เทศกาลคาวาโกเอะ (Kawagoe Matsuri Museum) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญที่ช่วยเล่าเรื่องราวเอกลักษณ์ของเมือง Kawagoe ได้อย่างชัดเจน ภายในจัดแสดง เกี้ยวแห่ (Dashi) ที่ใช้ในการเทศกาลใหญ่ประจำปีของเมือง เกี้ยวเหล่านี้ไม่ใช่เพียงรถลากธรรมดา แต่เป็นผลงานหัตถกรรมชั้นสูงที่ตกแต่งด้วยงานแกะสลักไม้ ประดับด้วยโคมไฟ และผ้าไหมหลากสีที่ส่องประกายเมื่ออยู่กลางแสงไฟในงานเทศกาลจริง เมื่อได้เดินเข้าไปใกล้ ๆ ผมสัมผัสได้ถึงความอลังการและความละเอียดประณีตในทุกส่วน ตั้งแต่ล้อไม้ขนาดใหญ่ไปจนถึงหัวสิงโตแกะสลักที่ประดับอยู่ด้านบน แต่ละเกี้ยวล้วนมีเอกลักษณ์และเรื่องราวเฉพาะตัว สะท้อนทั้งฝีมือช่าง ศรัทธาทางศาสนา และความสามัคคีของชุมชนที่ร่วมแรงร่วมใจกันสร้าง
ภายในพิพิธภัณฑ์ยังมีการจำลองบรรยากาศงานเทศกาลจริง ผ่านแสง สี เสียง และภาพเคลื่อนไหว เสียงกลองและเสียงขลุ่ยดังขึ้นพร้อมภาพขบวนเกี้ยวที่เคลื่อนผ่านกลางถนน ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ท่ามกลางงานเทศกาลที่เต็มไปด้วยผู้คน การได้เห็นและได้ยินสิ่งเหล่านี้แม้เพียงในพิพิธภัณฑ์ก็ทำให้หัวใจเต้นแรงและอยากกลับมาเห็นเทศกาลจริงในอนาคต ประสบการณ์ใน Kawagoe Matsuri Museum ไม่เพียงทำให้เราได้ชื่นชมศิลปะและงานหัตถกรรมที่งดงาม แต่ยังช่วยให้เข้าใจถึง “จิตวิญญาณของเทศกาล” ที่เชื่อมผู้คนเข้ากับอดีตและสร้างความภูมิใจให้แก่ชุมชนเมืองเก่านี้มาจนถึงทุกวันนี้

Sweet Potato Snacks
ก่อนกลับก็ไม่พลาดลอง ขนมมันหวาน (Sweet Potato) ของขึ้นชื่อประจำเมือง มีทั้งไอศกรีมมันหวาน ขนมทอด และเค้ก ทุกอย่างหวานมันกำลังดี ก่อนจะกลับจาก Kawagoe สิ่งที่พลาดไม่ได้เลยคือการลิ้มลอง ขนมมันหวาน ของขึ้นชื่อประจำเมือง ที่นี่ปลูกมันหวานมาตั้งแต่สมัยเอโดะและใช้เป็นทั้งอาหารหลักและวัตถุดิบในงานขนมพื้นเมือง จนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่นที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องลองให้ได้ ร้านค้าตลอดเส้นทางมีขนมมันหวานให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ไอศกรีมมันหวาน เนื้อเนียนหอมหวานเย็นชื่นใจ, ขนมมันทอด ที่ด้านนอกกรอบกำลังดีแต่ด้านในนุ่มละมุน หรือ เค้กมันหวาน ที่เนื้อแน่นหอมหวานละมุน ทุกอย่างถูกทำออกมาอย่างพิถีพิถันจนได้รสชาติกลมกล่อม ไม่หวานจนเลี่ยน แต่หอมมันกำลังดี
การได้เดินถือไอศกรีมมันหวานไปพลาง ชมเมืองเก่าไปพลาง เป็นความสุขเล็ก ๆ ที่เติมเต็มการเดินทางในวันนั้น บางร้านยังมีแพ็กเกจขนมสำหรับซื้อกลับบ้านด้วย ซึ่งกลายเป็นของฝากยอดนิยม เพราะไม่เพียงแต่รสชาติอร่อย แต่ยังเป็นเสมือนการพกพา “รสชาติของ Kawagoe” ติดมือกลับไปให้คนใกล้ชิดได้ลิ้มลอง ขนมมันหวานเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียงอาหาร แต่คือการบอกเล่าเรื่องราวทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของผู้คนในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ที่ยังคงรักษาภูมิปัญญาและเอกลักษณ์ไว้ได้อย่างงดงาม

Hikawa Shrine
อีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือน Kawagoe คือ ศาลเจ้า Hikawa ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่มีประวัติยาวนานกว่า 1,500 ปี สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่ออย่างยิ่งในเรื่องการขอพรด้านความรัก ความสัมพันธ์ และการแต่งงาน จนได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน “Power Spot” ที่ผู้คนจากทั่วญี่ปุ่นต่างเดินทางมาเพื่ออธิษฐานและเสริมสิริมงคลในชีวิตคู่ ทันทีที่ก้าวเข้าสู่บริเวณศาลเจ้า สิ่งแรกที่สะดุดตาคือ โทริอิสีแดงขนาดใหญ่ ที่ตั้งตระหง่านราวกับประตูเชื่อมโลกมนุษย์เข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ บรรยากาศรอบ ๆ ศาลเจ้าร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่และลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลผ่าน สร้างความสงบเงียบและเย็นสบาย ช่วยให้ผู้มาเยือนรู้สึกผ่อนคลายจากความวุ่นวายของชีวิตประจำวัน
ไฮไลต์ที่โด่งดังที่สุดคือ อุโมงค์ริบบิ้นลม (Ema Wind Chimes) ที่มีริบบิ้นและกระดิ่งแก้วใสแขวนเรียงรายเป็นพัน ๆ เส้นเหนือศีรษะ เวลาเดินผ่าน เสียงกระทบกันเบา ๆ จะดังขึ้นเป็นท่วงทำนองใสกังวานราวกับเสียงดนตรีจากธรรมชาติ ความงดงามของแสงแดดที่ลอดผ่านริบบิ้นใสสะท้อนเป็นประกายเล็ก ๆ ทำให้ทั้งอุโมงค์ดูราวกับโลกเหนือความจริง เป็นภาพที่ทั้งโรแมนติกและสงบในเวลาเดียวกัน ศาลเจ้า Hikawa ยังมีมุมให้ผู้คนเขียนคำอธิษฐานบนแผ่นไม้เอมะแล้วแขวนไว้เพื่อขอพรเรื่องความรักและครอบครัว การได้เห็นแผ่นคำอธิษฐานนับพันที่แขวนเรียงรายอยู่ ทำให้สัมผัสได้ถึงพลังศรัทธาและความหวังของผู้คนที่มารวมตัวกัน ณ สถานที่แห่งนี้ ประสบการณ์ที่ศาลเจ้า Hikawa ไม่ได้เป็นเพียงการเยี่ยมชมสถานที่ทางศาสนา แต่เป็นการสัมผัสถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับสิ่งที่อยู่เหนือความเข้าใจ พร้อมทั้งเตือนให้เห็นถึงความสำคัญของความรัก ความสัมพันธ์ และการใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

นอกจากอุโมงค์ริบบิ้นที่เป็นไฮไลต์แล้ว ภายในบริเวณ ศาลเจ้า Hikawa ยังมีบรรยากาศที่ร่มรื่นและเงียบสงบ รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงา ลำธารเล็ก ๆ ไหลเอื่อยอยู่ด้านข้าง น้ำใสสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ เสียงน้ำไหลผสมกับเสียงสายลมพัดผ่านยอดไม้ และเสียงริบบิ้นแกว่งไกวกระทบกันเบา ๆ เกิดเป็นจังหวะธรรมชาติที่กลมกลืนกันอย่างน่าประหลาด เมื่อได้เดินช้า ๆ ไปตามทาง ความรู้สึกเหมือนทุกอย่างรอบตัวค่อย ๆ เงียบลง ความเร่งรีบและความวุ่นวายของโลกภายนอกถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เหลือเพียงเสียงธรรมชาติที่บรรเลงให้เราฟังอย่างสงบ การได้ยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้ปลดวางทุกสิ่ง แล้วหันกลับมาอยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง ศาลเจ้าแห่งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการอธิษฐานขอพรเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่พักใจ ที่ผู้มาเยือนสามารถหยุดนิ่งและฟังเสียงภายในของตัวเอง ท่ามกลางโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว
การมา Kawagoe ครั้งนี้ เป็นประสบการณ์ที่ทำให้ผมได้สัมผัสเสน่ห์ของเมืองเก่าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ใช่เพียงการเดินชมสถาปัตยกรรมโบราณหรือแวะตามสถานที่ท่องเที่ยว แต่คือการได้ “ใช้เวลา” อยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่หลอมรวมทั้งอดีตและปัจจุบันเข้าด้วยกัน ตั้งแต่การเดินเล่นบนถนนบ้านพ่อค้า Kurazukuri ที่ยังคงกลิ่นอายเอโดะ การแวะชมพิพิธภัณฑ์เทศกาลที่บอกเล่าความภาคภูมิใจของชุมชน การยืนฟังเสียงระฆังเก่าแก่ Toki no Kane ที่ดังกังวานเชื่อมโยงกาลเวลา ไปจนถึงการได้พักผ่อนใจที่ศาลเจ้า Hikawa ท่ามกลางเสียงสายลมและริบบิ้นแกว่งไกว
ทุกช่วงเวลายังเต็มไปด้วยรายละเอียดเล็ก ๆ ที่น่าจดจำ เช่น การได้ลิ้มลองโซบะเย็นรสกลมกล่อมที่ทำให้ทุกคนเผลอร้องออกมาว่า “Umai!!” หรือการได้ชิมขนมมันหวานขึ้นชื่อของเมืองที่อร่อยจนอยากหอบกลับบ้าน และสิ่งที่ทำให้ประสบการณ์นี้มีชีวิตชีวายิ่งขึ้นคือการได้เห็น มิโกะ ตัวจริงในศาลเจ้า ภาพเหล่านี้ทำให้บรรยากาศของเมืองไม่ได้เป็นเพียงฉากประวัติศาสตร์ แต่เป็น “เมืองที่ยังมีชีวิต” ที่ผู้คนยังคงใช้ชีวิตและสืบสานวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้ทำให้การเดินทางหนึ่งวันใน Kawagoe ภายใต้โปรแกรม GPBL ไม่ใช่แค่ทริปท่องเที่ยว แต่คือบทเรียนที่มีค่าในการเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์วัฒนธรรม การอยู่ร่วมกับอดีต และการมองเห็นความสำคัญของรากเหง้าที่ทำให้เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ยังคงมีเสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย ถือเป็นอีกหนึ่งวันที่เต็มไปด้วยความประทับใจและเรื่องราวที่น่าจดจำอย่างแท้จริง
ส่วนหนึ่งของโครงการ โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ Global Problem Based Learning (gPBL) in Tokyo ร่วมกับมหาวิทยาลัย Shibaura Institute of Technology จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2568 ณ มหานครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้รับทุนจาก คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัย Shibaura Institute of Technology