Menu Close

Kagurazaka ย่านเก่าแก่กับแนวทางการอนุรักษ์และการพัฒนาให้สอดคล้องกับยุคสมัย

Kagurazaka ย่านเก่าแก่กับแนวทางการอนุรักษ์และการพัฒนาให้สอดคล้องกับยุคสมัย

ภันตรา อำพัน

Kagurazaka เป็นย่านเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ในเขต Shinjuku ของเมืองโตเกียว โดยย่านนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่สมัยเอโดะ และยังคงมีร่องรอยของความเป็นเมืองเก่าแทรกอยู่ท่ามกลางความทันสมัยของเมืองโตเกียวในปัจจุบัน ถนนสายหลักที่ชื่อ Kagurazaka-dori ถือเป็นเส้นทางสำคัญของย่านนี้มาตั้งแต่สมัยอดีต โดยเส้นทางนี้เริ่มจาก ศาลเจ้าอาคากิ(Akagi Shrine) ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่สูงที่สุดของย่านและลาดลงไปยังทิศตะวันออกเชื่อมสู่ปราสาทเอโดะ (Edo Castle) ที่เคยเป็นศูนย์กลางการปกครองของประเทศ ถนนสายนี้จึงทำหน้าที่เป็นแกนหลักทั้งในเชิงสัญลักษณ์และการใช้งานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 โดยความสำคัญของถนนคือเป็นเส้นทางที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของผู้คนและการเติบโตของชุมชนรอบข้างมาหลายปี

ในสมัยเอโดะ Kagurazaka เป็นย่านที่พักอาศัยของซามูไรและเป็นที่ตั้งของวัดและศาลเจ้าจำนวนมาก ลักษณะภูมิประเทศที่มีความสูงต่ำไม่สม่ำเสมอทำให้สิ่งก่อสร้างเหล่านี้มักถูกสร้างบนเนิน วัดและศาลเจ้าจึงทำหน้าที่ทั้งเป็นที่พึ่งทางจิตใจและเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการป้องกันภัยจากธรรมชาติอย่างน้ำท่วม โครงสร้างเมืองที่วางผังโดยมีศาสนสถานบนที่สูงและบ้านเรือนตามเชิงเนินยังคงเห็นได้ในปัจจุบัน ต่อมาเมื่อสังคมเปลี่ยนและบทบาทของซามูไรลดลง Kagurazaka ได้กลายเป็นย่านบันเทิงและย่านเกอิชาที่สำคัญ มีเรียวยะหรือร้านอาหารหรูและบ้านน้ำชากระจายอยู่ตามตรอกซอย เกอิชาหลายร้อยคนเคยทำงานอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ทำให้ย่านกลายเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและความบันเทิงของโตเกียว

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ย่าน Kagurazaka ได้รับความเสียหายอย่างหนัก อาคารบ้านเรือนจำนวนมากถูกทำลายลงจากการทิ้งระเบิด เมื่อต้องสูญเสียทั้งสถาปัตยกรรมและบรรยากาศดั้งเดิม ส่วนใหญ่แล้วหลายเมืองมักเลือกที่จะพัฒนาใหม่ทั้งหมด แต่ Kagurazaka กลับเดินบนเส้นทางที่แตกต่างออกไป หลังสงครามพื้นที่แห่งนี้ค่อย ๆ ฟื้นตัวทีละน้อย โดยการบูรณะและฟื้นฟูไม่ใช่เพียงเพื่อสร้างสิ่งใหม่ทดแทนของเก่า แต่คือการพยายามเก็บรักษาร่องรอยดั้งเดิมให้ยังคงอยู่ควบคู่ไปกับความเปลี่ยนแปลง อาคารหลายหลังได้รับการ ปรับปรุง (Renovate) โดยไม่ทำลายโครงสร้างหลักเดิม เช่น บ้านไม้หรือโกดังเก็บสินค้าที่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นคาเฟ่ ร้านอาหาร หรือแกลเลอรีร่วมสมัย การปรับตัวเช่นนี้ทำให้ย่าน Kagurazaka ยังคงมีชีวิตชีวา ไม่กลายเป็นพื้นที่รกร้างเหมือนย่านเก่าหลายแห่งในเมืองใหญ่ทั่วโลก ขณะเดียวกันยังสร้างแรงดึงดูดให้ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวอยากเข้ามาสัมผัสประสบการณ์

แนวทางการอนุรักษ์นี้จึงแสดงให้เห็นว่า “การรักษามรดก” ไม่จำเป็นต้องหยุดเวลาไว้ แต่คือการปรับให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบันโดยไม่สูญเสียจิตวิญญาณของพื้นที่ ตัวอย่างสำคัญคือ ศาลเจ้าอาคากิ (Akagi Shrine) ที่มีอายุยาวนานกว่า 300 ปี ได้รับการบูรณะใหม่โดยสถาปนิกชื่อดัง Kengo Kuma ให้อาคารศาลเจ้ามีความร่วมสมัย โปร่ง เบา และสอดรับกับสภาพเมืองรอบข้าง ขณะเดียวกันยังคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์และบทบาทดั้งเดิมในฐานะศูนย์รวมจิตใจของชุมชน นอกจากนี้ ตรอกซอยที่ปูด้วยหิน ก็ยังถูกเก็บรักษาไว้เป็นเอกลักษณ์ ตรอกซอยเหล่านี้ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงเส้นทางสัญจร แต่เป็นพื้นที่ที่เรื่องราวในอดีตกับวิถีชีวิตปัจจุบันมาบรรจบกัน ผู้ที่เดินผ่านตรอกซอยเหล่านี้จึงสามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายความเก่าแก่ที่เชื่อมโยงโดยตรงกับการใช้ชีวิตสมัยใหม่ของผู้คน Kagurazaka จึงเป็นตัวอย่างเด่นชัดของการอนุรักษ์ที่มีชีวิต ซึ่งทั้งรักษาอดีตและเติมพลังใหม่ให้ย่านดำรงอยู่อย่างยั่งยืน

จากการไปสำรวจย่าน Kagurazaka ในโครงการ Global Problem-Based Learning (GPBL) ทำให้ได้พบอนุรักษ์จำนวน 2 หลังซึ่งตั้งอยู่ภายในย่าน อาคารแรกคือ Suzuki-ke Jutaku Shuyoku (鈴木家住宅主屋) ตัวอาคารก่อสร้างขึ้นก่อนยุคโชวะ โดยมีหลังคาทรงจั่วมุงด้วยกระเบื้องทองแดง ลักษณะบ้านเป็นสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ผสมผสานกับองค์ประกอบตะวันตก โดยมีทั้งประตูไม้ระแนงแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ควบคู่ไปกับทางเข้าที่ก่อด้วยอิฐและกรอบประตูซึ่งตกแต่งด้วยเทคนิคงานไม้แบบนากุริ อาคารนี้ออกแบบโดยสถาปนิก Hiroshi Takahashi (1902–1991) เพื่อใช้เป็นทั้งบ้านพักและสตูดิโอของเขาเอง จุดเด่นคือแม้จะเป็นอาคารในสไตล์ญี่ปุ่นสมัยใหม่ แต่ยังเลือกใช้ผนังอิฐบางส่วนภายนอก ร่วมกับการออกแบบภายในที่มีหิ้งเตาผิงและช่องแสงบนหลังคา จึงเป็นการประสานกันของความเป็นญี่ปุ่นและความเป็นสมัยใหม่ที่ไม่ค่อยพบเห็นในยุค

อีกหนึ่งอาคารอนุรักษ์ที่พบคือ Kagurazaka Issuiryō (神楽坂一水寮) ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1947 และถูกออกแบบโดยสถาปนิก Hiroshi Takahashi เช่นเดียวกัน ในปี 1954  ได้มีการสร้างอาคารสำนักงานสถาปัตยกรรมเพิ่มเติมติดกับหอพักเดิม อาคารนี้ถือเป็นตัวอย่างที่หายากของสถาปัตยกรรมไม้สมัยหลังสงครามที่ยังหลงเหลืออยู่ในใจกลางโตเกียว โดยแสดงให้เห็นถึงฝีมือและเทคนิคของช่างไม้ญี่ปุ่นที่มีคุณค่า ทั้งในเชิงกายภาพและในเชิงวัฒนธรรม เดิมที Kagurazaka Issuiryō ใช้เป็นหอพักสำหรับช่างไม้ ก่อนที่จะค่อย ๆ ถูกปรับเปลี่ยนเป็นอพาร์ตเมนต์และสำนักงานออกแบบ ตั้งแต่ช่วงปี 1990 เป็นต้นมา อาคารได้กลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ที่หลากหลาย เช่น สตูดิโอออกแบบเชิงสถาปัตยกรรม เวิร์กชอปงานฝีมือ รวมถึงห้องเรียนงานคราฟต์ต่าง ๆ ในปี 2010 มีการบูรณะโดยสำนักงาน Suzuki Kiichi Architectural Planning Studio และในปี 2013 อาคารแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น Tangible Cultural Property ของญี่ปุ่น เพื่อคุ้มครองและอนุรักษ์อย่างเป็นทางการ ต่อมาในปี 2016 ได้มีการปรับปรุงเพิ่มเติม รวมถึงการเสริมโครงสร้างเพื่อต้านทานแผ่นดินไหวทำให้อาคารสามารถใช้งานต่อได้ในยุคปัจจุบัน

อาคารทั้งสองหลังนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการอยู่ร่วมกันระหว่างสถาปัตยกรรมดั้งเดิมและการปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตเมืองสมัยใหม่ในย่าน Kagurazaka ทั้งยังสะท้อนให้เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์อาคารเก่าในโตเกียว ที่ไม่เพียงแต่รักษาร่องรอยทางกายภาพ แต่ยังคงรักษามรดกทางวัฒนธรรมและบรรยากาศของชุมชนไว้

ถนนสายหลัก Kagurazaka-dori ในปัจจุบัน ถือว่าเป็นแกนกลางของย่าน โดยถนนจะเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และคาเฟ่ที่ผสมผสานทั้งแบบญี่ปุ่นและแบบตะวันตก โดยถนนยังคงเชื่อมโยงกับตรอกซอยเล็ก ๆ ที่ปูด้วยหินและคดเคี้ยว สิ่งที่ทำให้ Kagurazaka โดดเด่นคือการอยู่ร่วมกันของความเก่าและความใหม่ ศาลเจ้า และตรอกหินยังคงเป็นความดั้งเดิมของย่าน โดยร้านอาหารฝรั่งเศส คาเฟ่ และเบเกอรีก็เข้ามาสร้างความใหม่ ให้กับพื้นที่ อิทธิพลของชุมชนชาวฝรั่งเศสที่มาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ทำให้ Kagurazaka ได้รับฉายาว่า “Little Paris” ร้านอาหารฝรั่งเศสตั้งอยู่คู่กับเรียวยะญี่ปุ่นที่สืบทอดมาหลายยุคสมัย ทำให้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้ทำลายอดีต หากแต่เพิ่มเติมชั้นใหม่ลงไปในพื้นที่เดิม ในสมัยเอโดะถนนเส้นนี้เป็นศูนย์กลางของซามูไรและขุนนางต่อมาเมื่อสังคมเปลี่ยนบทบาทของผู้คนย่านนี้ก็กลายเป็นย่านเกอิชา และในปัจจุบันเมื่อมีชาวต่างชาติเข้ามาอาศัยและทำงาน เมืองก็เปลี่ยนไปเป็นพื้นที่ที่สะท้อนความเป็นสากลมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคือความสำคัญของถนนสายหลักซึ่งยังคงเป็นแกนกลางของย่านตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ปัจจุบัน Kagurazaka ไม่ได้เป็นเพียงย่านเก่าแก่ที่คงร่องรอยอดีตไว้เท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ที่สะท้อนภาพโตเกียวในหลายมิติพร้อมกัน ในด้านหนึ่ง ที่นี่คือ “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ผ่านวัด ศาลเจ้า ตรอกซอยปูหิน และอาคารอนุรักษ์ที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ขณะเดียวกัน Kagurazaka ก็ทำหน้าที่เป็น พื้นที่ทางสังคมร่วมสมัย ที่เต็มไปด้วยคาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านค้า และกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของผู้คนยุคใหม่ อีกมิติหนึ่งที่ทำให้ย่านนี้โดดเด่นคือการเป็นพื้นที่เชื่อมโยง วัฒนธรรมญี่ปุ่นดั้งเดิมกับวัฒนธรรมตะวันตก ได้อย่างแนบเนียน ภาพของร้านอาหารฝรั่งเศสที่ตั้งอยู่เคียงข้างกับเรียวยะญี่ปุ่น หรือศาลเจ้าโบราณที่อยู่ไม่ไกลจากคาเฟ่ยุโรป ล้วนแสดงถึงการผสมผสานที่ไม่ลบเลือนอดีต หากแต่สร้าง “ชั้นใหม่” ลงบนพื้นที่เดิม ทำให้ย่านนี้ยังคงมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่หาไม่ได้จากที่อื่น ด้วยความหลากหลายนี้ Kagurazaka จึงเป็นย่านที่มีคุณค่าในหลายมิติ ไม่ว่าจะในฐานะมรดกทางวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้มาเยือนจากทั่วโลก หรือพื้นที่อยู่อาศัยที่ยังคงมีชีวิตจริงของชาวเมืองโตเกียว ทำให้ย่านนี้ยังคงเป็นที่สนใจและมีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งในสายตาของชาวญี่ปุ่นเองและนักท่องเที่ยวต่างชาติ


ส่วนหนึ่งของโครงการ โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ Global Problem Based Learning (gPBL) in Tokyo ร่วมกับมหาวิทยาลัย Shibaura Institute of Technology จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25  กรกฎาคม  2568 ถึงวันที่ 3  สิงหาคม  2568  ณ มหานครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้รับทุนจาก คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัย Shibaura Institute of Technology