Menu Close

“Japan Open-Air Folk Museum” วัฒนธรรมบ้านจากรากฐานที่แตกต่าง

“Japan Open-Air Folk Museum” วัฒนธรรมบ้านจากรากฐานที่แตกต่าง

น.ส.รติมา  งามมุข

พิพิธภัณฑ์บ้านญี่ปุ่นกลางแจ้ง หรือ Japan Open-Air Folk Museum ถูกสร้างในปี ค.ศ. 1965 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์บ้านญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่มีความสวยงามและยังสะท้อนแนวคิดความกลมกลืนกับธรรมชาติให้คนรุ่นต่อไปได้ศึกษา พิพิธภัณฑ์นี้ได้รวบรวมบ้านญี่ปุ่นดั้งเดิมไว้ทั้งหมด 25 หลัง ซึ่งแต่ละหลังเป็นบ้านจริงที่มีความเป็นมาตั้งแต่สมัยเอโดะ  (ช่วงปี ค.ศ. 1603 – ค.ศ. 1868)  โดยตัวพิพิธภัณฑ์ได้รวบรวมบ้านจากพื้นที่ในแถบตะวันออกของประเทศญี่ปุ่นนำมาจัดแสดง ซึ่งบ้านแต่ละหลังก็ยังมีความแตกต่างกันไปอีกจากเงื่อนไขของภูมิประเทศและฐานะของผู้ที่เคยอาศัยไม่ว่าจะเป็นชาวนา พ่อค้าหรือซามูไร อีกทั้งข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตก็ยังถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีอีกด้วย

แนวคิดการออกแบบและวิถีชีวิต

ส่วนแรกสุดที่เข้าไปก็คือส่วนของอาคารนิทรรศการ ภายในอาคารได้อธิบายถึงโครงสร้างและขั้นการก่อสร้างของบ้านญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหลังคาตามการใช้งาน หลังคาที่ทำมาจากหญ้าตระกูล Pampas กำแพงที่ถูกสร้างมาจากดินที่ถมกันหลายชั้น ข้อต่อของโครงสร้างที่ถูกตัดมาให้วางลงกันพอดีทำให้ไม่ต้องพึ่งตะปู ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเอกลักษณ์ของบ้านญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่ใช้แนวคิดในการนำธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ อีกทั้งยังสะท้อนภูมิปัญญาชาวบ้านที่รู้จักปรับตัวเข้ากับสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างในแต่ละภูมิภาค เช่น การทำหลังคาหนามากเพื่อป้องกันหิมะ หรือการยกพื้นสูงเพื่อป้องกันความชื้นและสัตว์รบกวน นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงแบบจำลองส่วนประกอบต่างๆ ของบ้าน รวมถึงภาพวาด แผนผัง และสื่อการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เข้าชมเข้าใจวิธีคิดและทักษะงานช่างที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีต จนกลายเป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมที่มีคุณค่าในปัจจุบัน

ห้องที่อยู่ถัดไปจะเป็นห้องที่เกี่ยวกับข้าวของเครื่องใช้ที่ใช้ในชีวิตประจำวันและใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ ความเชื่อเรื่องการเคารพวิญญาณที่อยู่ในสถานที่นั้นและเรื่องเล่าของโยไคที่อาศัยอยู่ในบ้าน โดยจัดแสดงทั้งเครื่องมือทำครัว เครื่องจักสาน เครื่องมือการเกษตร ตลอดจนวัตถุที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและพิธีกรรม เช่น เครื่องบูชา เครื่องราง หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในเทศกาลตามฤดูกาล ภายในห้องยังมีการเล่าเรื่องราวความเชื่อพื้นบ้านที่ผูกพันกับวิญญาณและโยไค ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดของคนญี่ปุ่นที่มองว่าทุกสิ่งรอบตัวมีชีวิตและควรได้รับการเคารพ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้เข้าชมเข้าใจได้ว่าเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันไม่เพียงทำหน้าที่ทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับมิติทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรมในอดีตอีกด้วย

บ้านที่ออกแบบแตกต่างกันตามสภาพพื้นที่

ในแถบตะวันออกของญี่ปุ่นมีภูมิประเทศที่หลากหลาย ตั้งแต่ภูเขาสูงจนไปถึงบริเวณชายฝั่งทะเล ทำให้บ้านแต่ละพื้นที่มีการออกแบบที่แตกต่างกัน บ้านที่อยู่บนภูเขาจะมีการวางให้สัมพันธ์กับความชันของภูเขา บ้านในเมืองจะเน้นการวางบ้านเป็นแนวยาวเนื่องจากมีพื้นที่ที่จำกัด บ้านที่ตั้งอยู่ในที่โล่งล้อมรอบด้วยป่าจะมีลานกลางแจ้งหน้าบ้านเนื่องจากเป็นที่ราบและมีพื้นที่ใช้สอยเยอะ ส่วนบ้านที่อยู่บริเวณชายฝั่งทะเลจะมีการเปลี่ยนใต้ถุนบ้านให้ติดกับน้ำทะเลเป็นที่เก็บเรือไปเลย ลักษณะเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวของผู้คนที่ออกแบบบ้านให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น บ้านบนภูเขาที่ใช้วัสดุจากท้องถิ่นอย่างไม้และหินเพื่อให้แข็งแรงทนต่ออากาศหนาว บ้านในเมืองที่ออกแบบกะทัดรัดแต่ยังคงพื้นที่ใช้สอยที่ครบถ้วน หรือบ้านชายฝั่งที่ไม่เพียงแต่เป็นที่อยู่อาศัย แต่ยังผสมผสานกับการประกอบอาชีพประมงได้อย่างลงตัว สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่าบ้านญี่ปุ่นดั้งเดิมไม่ใช่เพียงสิ่งปลูกสร้าง แต่เป็นผลลัพธ์ของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละภูมิภาค

ความต่างของอาชีพและบ้าน

          เมื่อออกจากอาคารนิทรรศการก็เข้ามาถึงส่วนที่เป็นส่วนหลักของพิพิธภัณฑ์นั่นก็คือบ้านทั้งหมด 25 หลัง โดยในตัวพิพิธภัณฑ์ได้แบ่งออกเป็น 5 โซนตามแต่ละภูมิภาคที่ย้ายมา ซึ่งแต่ละหลังไม่เพียงสะท้อนภูมิประเทศ แต่ยังสะท้อนฐานะและอาชีพของผู้อยู่อาศัยอีกด้วย ทั้งบ้านชาวนา บ้านชาวประมง บ้านพ่อค้า ไปจนถึงบ้านของชนชั้นซามูไร

บ้านมิซาว่า  (The Misawa House)

เป็นบ้านที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์พื้นถิ่นของจังหวัดนากาโนะ นั่นคือการใช้หลังคาที่วางด้วยหินเพื่อเพิ่มน้ำหนักไม่ให้หลังคาหญ้าปลิวไปตามลมแรง บ้านหลังนี้ถูกใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคณะผู้นำหมู่บ้านมาหลายยุคสมัย โครงสร้างภายในมีขนาดใหญ่และแบ่งพื้นที่ใช้งานอย่างชัดเจน สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทและสถานะของผู้อยู่อาศัย อีกทั้งในอดีตยังเคยถูกใช้เป็นร้านขายยาที่ให้บริการแก่คนในหมู่บ้าน แสดงให้เห็นว่าบ้านหลังหนึ่งสามารถปรับเปลี่ยนหน้าที่ได้ตามยุคสมัยและความต้องการของชุมชน

บ้านยามาชิตะ  (Yamashita House)

บ้านหลังนี้มาจากหมู่บ้านชิราคาวะ จังหวัดกิฟู ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีหิมะตกหนักในฤดูหนาว ลักษณะเด่นคือการยกหลังคาสูงชันแบบกัสโชสึคุริ  (Gassho-zukuri) ที่ออกแบบให้หิมะไหลลงมาได้ง่าย ลดน้ำหนักกดทับบนหลังคา นอกจากการป้องกันหิมะแล้ว พื้นที่ใต้หลังคาขนาดใหญ่ยังถูกใช้เป็นห้องสำหรับเลี้ยงตัวไหม ซึ่งเป็นอาชีพสำคัญของคนในท้องถิ่น รวมทั้งใช้เป็นที่เก็บอาหารและฟืนเพื่อดำรงชีวิตในฤดูหนาว บ้านหลังนี้ยังเคยถูกปรับใช้เป็นร้านอาหารในช่วงหนึ่ง แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของบ้านญี่ปุ่นดั้งเดิมที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและเศรษฐกิจของผู้คนในแต่ละยุคสมัย

วิถีชีวิตภายในบ้าน

            ชาวญี่ปุ่นมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย เน้นความเป็นครอบครัวและความผูกพันกับธรรมชาติ บ้านดั้งเดิมถูกออกแบบให้สมาชิกในบ้านสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะบริเวณครัวและพื้นที่รับประทานอาหารที่ถูกรวมเข้าไว้ด้วยกัน การนั่งล้อมวงรับประทานอาหารไม่เพียงเป็นกิจกรรมทางกาย แต่ยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างความอบอุ่น ความผูกพัน และความกลมเกลียวภายในครอบครัว อีกทั้งยังสะท้อนวัฒนธรรมของการแบ่งปันและการอยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด การจัดวางผังภายในบ้านมักเป็นแบบเปิดโล่งเพื่อให้เดินเชื่อมต่อถึงกันได้สะดวก แต่ในขณะเดียวกันก็มีการจัดการพื้นที่ที่เป็นสัดส่วนอย่างชาญฉลาด เช่น การแยกพื้นที่เก็บอาหารออกมาเป็นห้องต่างหากเพื่อลดกลิ่นรบกวนและป้องกันสัตว์ รวมทั้งยังสะท้อนแนวคิดเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมภายในบ้านที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ ส่วนของห้องนั่งเล่นหรือห้องรับแขกมักออกแบบให้เปิดกว้าง สามารถรับลมและแสงธรรมชาติจากภายนอก ทำให้บ้านโปร่งสบายและสอดคล้องกับฤดูกาล

นอกจากนี้ยังมีการสร้างชานหรือระเบียงที่ยื่นออกมาหน้าบ้าน ซึ่งไม่เพียงทำหน้าที่เป็นพื้นที่นั่งเล่นหรือพูดคุย แต่ยังเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างคนในบ้านกับธรรมชาติรอบตัว เช่น การนั่งชมวิว ปลูกต้นไม้ หรือพูดคุยกับเพื่อนบ้านที่ผ่านไปมา ชานเรือนจึงกลายเป็นพื้นที่กึ่งสาธารณะซึ่งสะท้อนการใช้ชีวิตที่ไม่ตัดขาดจากสังคมรอบข้าง วิถีชีวิตเช่นนี้ทำให้บ้านญี่ปุ่นดั้งเดิมไม่ได้เป็นเพียงที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นพื้นที่ที่รวมทั้งความสัมพันธ์ในครอบครัว ความสัมพันธ์กับชุมชน และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุลและเคารพซึ่งกันและกัน

จะเห็นได้ว่าพิพิธภัณฑ์นี้นอกจากจะเก็บรวบรวมบ้านที่มีอยู่มาตั้งแต่สมัยเอโดะแล้ว พิพิธภัณฑ์ยังคงเก็บรักษาวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยก่อนที่สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการสร้างบ้าน การจัดวางพื้นที่ใช้สอย หรือข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ล้วนสะท้อนแนวคิดการดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายและผูกพันกับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง คุณค่าของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จึงไม่ได้อยู่แค่การอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดั้งเดิม แต่ยังทำให้ผู้เข้าชมได้เรียนรู้และสัมผัสถึงภูมิปัญญา วิถีชีวิต และจิตวิญญาณของคนญี่ปุ่นในอดีต ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ยังคงปรากฏอยู่ในสังคมปัจจุบัน


ส่วนหนึ่งของโครงการ โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ Global Problem Based Learning  (gPBL) in Tokyo ร่วมกับมหาวิทยาลัย Shibaura Institute of Technology จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25  กรกฎาคม  2568 ถึงวันที่ 3  สิงหาคม  2568  ณ มหานครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้รับทุนจาก คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัย Shibaura Institute of Technology