Eco-museum พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง สเน่ห์บ้านเมืองเก่าท่ามกลางสิ่งแวดล้อมของปัจจุบัน
น.ส. พิชญาภา คู่เจริญถาวร
หัวข้อในการเข้าร่วมโปรแกรม Global Problem Based Learning (gPBL) คือ “Urban Green Space” หรือการอนุรักษ์พื้นที่สีเขียวในเมือง ความน่าสนใจคือไม่เพียงแค่การรักษาธรรมชาติ แต่ยังรวมถึงการเก็บรักษาเสน่ห์ของบ้านเมืองเก่า วัฒนธรรม และภูมิปัญญาที่สืบทอดมาจากอดีต สิ่งเหล่านี้ถือเป็น “พื้นที่สีเขียวทางวัฒนธรรม” ที่ช่วยให้เมืองในปัจจุบันไม่สูญเสียรากเหง้าและเอกลักษณ์ของตนเอง โดยทั่วไป “พิพิธภัณฑ์” ในความหมายดั้งเดิมคืออาคารที่สร้างขึ้นเพื่อจัดเก็บ รวบรวม และจัดแสดงสิ่งของที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ หรือวัฒนธรรม เพื่อให้ผู้คนเข้าไปชมและเรียนรู้เรื่องราวจากอดีต แต่ข้อจำกัดของพิพิธภัณฑ์รูปแบบนี้คือผู้เข้าชมสัมผัสได้เพียง “วัตถุ” หรือ “สิ่งของ” ที่ถูกจัดแสดง ไม่สามารถรับรู้ถึงบรรยากาศ สภาพแวดล้อม หรือวิถีชีวิตที่สิ่งเหล่านั้นเคยมีจริงในอดีต

Eco-museum หรือพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์นี้ คำว่า “Eco” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ecology เพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึง “บ้าน” หรือ “ชุมชน” (มาจากภาษากรีก oikos) Eco-museum จึงหมายถึงพิพิธภัณฑ์ที่เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่าง “ผู้คน-สถานที่-วัฒนธรรม” โดยไม่จำกัดให้อยู่เพียงในอาคาร แต่ใช้ “พื้นที่จริง” ทั้งเมือง ชุมชน และธรรมชาติ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ผู้เข้าชมสามารถเดินเข้าไปในพื้นที่ มองเห็น สัมผัส และเรียนรู้วิถีชีวิต สถาปัตยกรรม และสิ่งแวดล้อมในแบบที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด
หลายประเทศหันมาใช้แนวคิดนี้ในการอนุรักษ์ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นที่ต้องเผชิญกับการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว การเก็บรักษาพื้นที่ทางวัฒนธรรมและธรรมชาติผ่าน Eco-museum จึงเป็นวิธีการที่ช่วยรักษาสมดุลระหว่างความเจริญสมัยใหม่กับการคงไว้ซึ่งมรดกทางวัฒนธรรม โปรแกรม gPBL ในครั้งนี้จึงพาเราไปสัมผัส Eco-museum และเมืองเก่าถึง 3 แห่ง ได้แก่ Japan Open-Air Folk Museum, Kawagoe City และ Edo-Tokyo Open-Air Architectural Museum แต่ละแห่งต่างสะท้อนให้เห็นมิติที่แตกต่างกันของการอนุรักษ์ ผ่านพื้นที่จริงที่มีทั้งบ้านเรือน ร้านค้า และวิถีชีวิตที่ยังคงสืบต่อมาถึงปัจจุบัน
Japan Open-Air Folk Museum
ที่ตั้ง: Ikuta Ryokuchi Park in Kawasaki, Kanagawa, Japan
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งนี้ถือเป็นแหล่งเรียนรู้ที่พาเราย้อนเวลากลับไปกว่า 300 ปี สู่ยุคที่บ้านญี่ปุ่นยังสร้างด้วยไม้และมุงหลังคาฟาง หน้าตาของสถาปัตยกรรมเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนถึงวิธีการก่อสร้าง แต่ยังบ่งบอกถึงวิถีชีวิตและความสัมพันธ์ของผู้คนกับธรรมชาติในยุคนั้น บ้านแต่ละหลังถูกเคลื่อนย้ายและอนุรักษ์ไว้อย่างระมัดระวัง ทำให้ผู้เข้าชมสามารถเดินชมอาคารจริง ท่ามกลางพื้นที่สีเขียว ป่าไม้ และลำธารที่โอบล้อมอยู่รอบ ๆ จนเกิดบรรยากาศที่เสมือนเราหลุดเข้าไปในอดีต การเดินชมที่นี่ไม่ใช่เพียงการมองดูอาคารเก่า แต่เป็นการสัมผัส “บรรยากาศของการใช้ชีวิต” เพราะพิพิธภัณฑ์ไม่ได้แช่แข็งสิ่งเหล่านี้ไว้เพียงเพื่อการจัดแสดง หากยังพยายามถ่ายทอดวิถีวัฒนธรรมดั้งเดิมผ่านกิจกรรมที่มีชีวิต เช่น ชาวบ้านที่มาสาธิตการสานรองเท้าฟาง การทอผ้า หรือการจักสานเครื่องใช้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้เข้าชมเข้าใจได้ว่าบ้านไม้หลังคาฟางในอดีตไม่ได้เป็นเพียงสิ่งปลูกสร้าง แต่คือพื้นที่ที่หล่อเลี้ยงชีวิต มีความสัมพันธ์โดยตรงกับภูมิปัญญาในการใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติ
เมื่อได้เดินเข้าไปในแต่ละเรือน เราจะเห็นรายละเอียดที่สะท้อนความคิดของคนโบราณ เช่น การวางเตาไฟกลางบ้านเพื่อให้ทั้งครอบครัวรวมตัวกัน การใช้พื้นที่ใต้หลังคาสูงเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต หรือการออกแบบช่องลมเพื่อให้บ้านถ่ายเทอากาศได้ดีในฤดูกาลที่แตกต่างกัน ทั้งหมดนี้แสดงถึงการอยู่ร่วมกับสภาพภูมิอากาศอย่างชาญฉลาดและเรียบง่าย ดังนั้น Japan Open-Air Folk Museum ไม่ได้เป็นเพียงที่เก็บรักษาสถาปัตยกรรม หากแต่เป็น “พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต” ที่ทำให้เรามองเห็นสายสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ธรรมชาติ และภูมิปัญญาในอดีตอย่างชัดเจน และยังเป็นตัวอย่างสำคัญของการอนุรักษ์พื้นที่สีเขียวและวัฒนธรรมให้สอดคล้องกับแนวคิด Eco-museum อย่างแท้จริง

Kawagoe City
ที่ตั้ง: Saitama Prefecture, Japan
คาวาโกเอะ หรือที่หลายคนเรียกว่า “เอโดะน้อย” (Little Edo) เป็นเมืองที่สะท้อนเสน่ห์ของญี่ปุ่นในยุคเอโดะได้อย่างสมบูรณ์ แม้เวลาจะผ่านไปกว่าสองร้อยปี แต่ถนนสายหลักที่เรียงรายด้วยอาคารไม้และโกดังเก็บสินค้าหน้าตาแบบดั้งเดิมยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี การเดินผ่านย่านเก่าของคาวาโกเอะจึงเหมือนการย้อนเวลากลับไปในสมัยที่เมืองนี้รุ่งเรืองจากการค้า ความโดดเด่นของเมืองไม่ใช่เพียงตัวสถาปัตยกรรม แต่ยังรวมถึงวิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบันที่ยังคงสืบต่อการใช้พื้นที่เก่าแก่เหล่านี้อย่างมีชีวิตชีวา ร้านค้าขนมหวานแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ร้านน้ำแข็งใส และร้านขายของฝากที่หยิบเอาเรื่องราวของเมืองมาเล่าในรูปแบบใหม่ ๆ เป็นตัวอย่างของการปรับตัวเข้ากับสังคมสมัยใหม่โดยยังไม่ละทิ้งเอกลักษณ์ดั้งเดิม
เมื่อเดินเข้าสู่ตรอกซอยเล็ก ๆ เราจะพบเจอรายละเอียดเล็กน้อยที่สะท้อนวัฒนธรรม เช่น หอระฆัง “โทคิโนะคาเนะ” ที่ใช้บอกเวลาให้ชาวเมืองมาตั้งแต่สมัยโบราณ หรือศาลเจ้าและวัดที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางอาคารพาณิชย์ การผสมผสานเช่นนี้ทำให้คาวาโกเอะไม่ใช่เพียงเมืองที่ถูกเก็บไว้เพื่อการอนุรักษ์ แต่เป็น “เมืองที่ยังมีชีวิต” ที่ผู้คนยังคงอาศัยอยู่ ทำการค้า และใช้ชีวิตร่วมกับอดีตในทุก ๆ วัน

Edo-Tokyo Open-Air Architectural Museum
ที่ตั้ง: western part of Koganei Park, Koganei City

พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งนี้ตั้งอยู่ในสวนคูกาไน เมืองโตเกียว และเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่สำคัญที่สุดของการเก็บรักษาสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นจากหลายยุคสมัย ตั้งแต่บ้านเรือนยุคเอโดะ ร้านค้าและโรงอาบน้ำในสมัยเมจิและไทโช ไปจนถึงอาคารสมัยใหม่ที่มีบทบาทในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังสงคราม แต่ละอาคารถูกเคลื่อนย้ายมาตั้งเรียงรายในพื้นที่กว้าง ทำให้ผู้เข้าชมสามารถเดินชมอย่างเป็นระบบ เห็นพัฒนาการของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นจากอดีตถึงปัจจุบันได้ในที่เดียว สิ่งที่ทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีเอกลักษณ์คือการเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปภายในอาคารจริง ไม่ว่าจะเป็นบ้านพัก โรงเตี๊ยม ร้านค้า หรือแม้แต่โรงอาบน้ำสาธารณะ ภายในถูกจัดแต่งด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่สะท้อนวิถีชีวิตดั้งเดิม เช่น โต๊ะ เตียง ตู้เก็บของ หรือเครื่องครัว ทำให้เราเห็นภาพว่าผู้คนแต่ละยุคใช้ชีวิตอย่างไรในพื้นที่เหล่านี้ การเดินชมที่นี่จึงไม่ใช่แค่การเรียนรู้สถาปัตยกรรม แต่เป็นการซึมซับประวัติศาสตร์และความทรงจำร่วมของสังคมญี่ปุ่น แต่ละอาคารเล่าเรื่องถึงความเปลี่ยนแปลง เช่น การปรับตัวในยุคที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศ การฟื้นฟูหลังสงคราม หรือการสร้างอาคารเพื่อรองรับวิถีชีวิตเมืองสมัยใหม่
การได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้เข้าชมเข้าใจว่า “สถาปัตยกรรม” ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งก่อสร้าง แต่เป็นหลักฐานที่บันทึกความเปลี่ยนแปลงของชีวิตผู้คน โดยสรุปแล้ว การเข้าร่วมโปรแกรมครั้งนี้ทำให้เราได้ตระหนักถึงคุณค่าของการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติผ่านแนวคิด Eco-museum ซึ่งไม่เพียงแต่เก็บรักษาสถาปัตยกรรมเก่าหรือสิ่งของในพิพิธภัณฑ์ หากแต่เปิดโอกาสให้เราได้สัมผัส “พื้นที่จริง” ทั้งเมือง ชุมชน และสิ่งแวดล้อมที่ยังคงมีชีวิตอยู่ การได้เดินชมบ้านเรือน ร้านค้า วัด ศาลเจ้า หรือแม้แต่โรงอาบน้ำที่ยังคงบรรยากาศเดิมเอาไว้ ทำให้เรารู้สึกราวกับย้อนเวลาไปอยู่ในยุคอดีต และเข้าใจได้ชัดเจนมากขึ้นว่าผู้คนในแต่ละสมัยใช้ชีวิตอย่างไร จุดสำคัญของการทำพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งคือการเชื่อมโยง อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต เข้าด้วยกัน ผู้เข้าชมไม่ใช่เพียงผู้สังเกต แต่เป็นผู้ที่ได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมที่ถ่ายทอดภูมิปัญญา เช่น งานหัตถกรรม การแสดงวัฒนธรรม หรือการค้าขายแบบท้องถิ่น สิ่งเหล่านี้ช่วยให้มรดกทางวัฒนธรรมไม่หยุดนิ่งอยู่แค่ในตู้จัดแสดง แต่ยังคงมีบทบาทในสังคมปัจจุบัน นอกจากนี้ Eco-museum ยังเป็นการอนุรักษ์ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เพราะไม่จำเป็นต้องสร้างอาคารใหม่มารองรับการจัดแสดง แต่ใช้พื้นที่ธรรมชาติและสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่แล้วเป็น “ห้องเรียนกลางแจ้ง” ทำให้เกิดความสมดุลระหว่างการพัฒนาเมืองกับการรักษาความดั้งเดิม ในยุคที่เมืองกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว รูปแบบการอนุรักษ์เช่นนี้จึงเหมาะสมและตอบโจทย์ความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
ส่วนหนึ่งของโครงการ โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ Global Problem Based Learning (gPBL) in Tokyo ร่วมกับมหาวิทยาลัย Shibaura Institute of Technology จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 3 สิงหาค15ม 2568 ณ มหานครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้รับทุนจาก คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัย Shibaura Institute of Technology