19参Ⅲ: THE RENOVATION OF A SLAUGHTERHOUSE
พื้นที่สร้างสรรค์ภายใต้เงาสลัวของอาคารโรงฆ่าสัตว์โบราณปี 1933
ธราดล เหล่าพิเชฐกุล
เมืองเซี่ยงไฮ้เป็นอีกเมืองใหญ่ๆ ในเอเชีย ที่เปลี่ยนผ่านจากยุคอุตสาหกรรมศตวรรษที่ 19 สู่ยุค Post-Industrialism ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ ภายใต้แสงสีของแหล่งท่องเที่ยวมากมายในเมืองเซียงไฮ้ เช่น ย่านแสงสี The bund, Nanjing Road, Shanghai Natural History Museum หรือเมืองโบราณ Zhujiajiao ยังมีอีกย่านซึ่งน้อยคนจะรู้จักแต่กลับมีประวัติศาสตร์ยาวนานไม่แพ้กันคือ ย่าน Hongkou ซึ่งกำลังค่อย ๆ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ จากคนรุ่นใหม่ มีอาคารคอนกรีตหนึ่งซึ่งโดดเด่นและแตกต่างจากอาคารโดยรอบ และก้าวผ่านประวัติศาสตร์ความเกียจชังจากยุคสมัยศตวรรษที่ 19 มาจนถึงการยอมรับเมื่อเวลาผ่านพ้นไปในปัจจุบัน

ในขณะที่สถาปนิกชาวญี่ปุ่น Kengo Kuma กําลังเปลี่ยนโรงฆ่าสัตว์ร้างในปอร์โตให้เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม สถาปนิกชาวปาตาโกเนียม, Pedro Kovacic ได้สร้างโรงแรมหรูในชิลีจากโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ที่ถูกทิ้งร้าง จากนั้นก็มีการฟื้นฟู Matadero Madrid ของ Luis Bellido ให้เป็นศูนย์ศิลปะ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 20 คณะกรรมาธิการสําหรับโรงงานผลิตเนื้อสัตว์ที่ก้าวหน้าทางสังคมจะได้รับการยอมรับที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การยกระดับการปฏิบัติในการฆ่าสัตว์จากสภาพป่าเถื่อน โหดร้าย และไม่ถูกสุขอนามัยที่เกี่ยวข้องกับศตวรรษที่ 19 ได้รับการยอมรับว่าเป็นการปรับปรุงที่จําเป็น ไม่น่าแปลกใจเลยที่โรงฆ่าสัตว์เกิดขึ้นเพื่อขจัดภาพและเสียงที่น่าสยดสยองของการฆ่าสัตว์ออกจากสายตาของสาธารณชน แทนที่จะประหารชีวิตวัวหรือหมูในจัตุรัสสาธารณะกลางเมือง ซึ่งตําแหน่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับโรงฆ่าสัตว์ในขณะนั้นคือ : “ห่างไกลจากใจกลางเมือง สมดุลบนพื้นที่สูง ล้อมรอบด้วยกําแพงทึบแสงทั้งสี่ด้าน และซ่อนตัวจากสายตา” นั่นคือความคิดต่อโรงฆ่าสัตว์และคนงานโรงฆ่าสัตว์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ในบริบทนี้ สถาปัตยกรรมโรงฆ่าสัตว์พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่แนวความคิดใหม่ เพื่อออกจากแนวทางปฏิบัติในการฆ่าสัตว์แบบอุตสาหกรรมไปสู่มาตรฐานใหม่สำหรับผลิตเนื้อสัตว์

โรงฆ่าสัตว์เซี้ยงไฮ้ หรือที่รู้จักกันในชื่อ 1933 Old millfun อาคารเดิมได้รับการออกแบบโดยกรมโยธาธิการของเซี้ยงไฮ้ในช่วงทศวรรษที่ 1920 อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 4 ชั้นสไตล์อาร์ตเดโค (Art Deco) ผสมผสานระหว่างความตะวันตกและตะวันออกเข้าไว้ด้วยกัน เป็นผลงานชิ้นเอกของอาร์ตเดโคและเป็นหนึ่งในความพยายามแรกสุดในการผสมผสานสัตว์ที่สวยงามเข้ากับสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่ง โดยนักออกแบบชื่อดังชาวอังกฤษ Andrew Balfours ได้ใช้งบประมาณก่อสร้างกว่า 33 ล้านตำลึง (สกุลเงินจีนในสมัยนั้น) เพราะต้องขนวัตถุดิบหลักสำหรับทำคอนกรีตจากประเทศอังกฤษ มาก่อให้เป็นผนังหนาราว 50 เซนติเมตร เพื่อคงรักษาอุณหภูมิความเย็นภายในอาคารไว้ โรงฆ่าสัตว์เซี่ยงไฮ้เป็นอาคารสี่เหลี่ยมจัตุรัสสี่ชั้นที่มีแกนกลางทรงกลม มาจากความเชื่อของชาวจีนที่ว่า “โลกเป็นทรงจตุรัสและท้องฟ้าเป็นทรงกลม” ชั้นล่างเสาอาร์ตเดโคเรียวที่รองรับพื้นด้านบน แม้ด้านนอกจะทึบแต่ด้านในมีหน้าต่างตาข่ายขนาดใหญ่ที่ทอดยาวสามชั้นถึงชายคาด้านนอก และโถงเปิดเป็นช่องทางให้แสงผ่านเข้ามาได้ เพื่อระบายอากาศ กลิ่น และความร้อน ทางเดินสะพานคอนกรีต ทั้งตรง โค้ง ทับซ้อนกันไปมาเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ซึ่งมีอยู่ถึง 26 จุดด้วยความกว้างแตกต่างกันไปตามขนาดของสัตว์และเพื่อใช้ควบคุมความเร็วของการลำเลียงสัตว์ด้วย เอกลักษณ์ของอาคารทำให้แรงโน้มถ่วงสามารถระบายเลือด ซากขยะ หนังของสัตว์ที่ตายแล้ว ผ่านทางลาดเอียงบางจุดก็ทำเทคเจอร์ไว้บนพื้นเพื่อป้องกันการลื่นไถล มีมุมหักเลี้ยวแปลกๆ เพื่อให้ผู้คุมสามารถเหวี่ยงตัวหลบได้ทันหากสัตว์เกิดหงุดหงิดและต่อสู้ขึ้นมา มีบันไดทั้งแบบแนวตรงและบันไดวนสไตล์ฝรั่งเศสซึ่งแทรกซ่อนอยู่ตามมุมต่างๆ ผลผลิตของเสียที่ไม่สามารถใช้ได้ทั้งหมด หรือเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือเป็นโรคจะถูกนําข้ามถนนไปยังเตาเผาขยะ ด้วยขนาดพื้นที่แล้ว ว่ากันว่าสมัยที่เป็นโรงฆ่าสัตว์นั้นสามารถรองรับจำนวนสัตว์หลากประเภททั้งวัว แกะ หมู ได้ถึง 1,200 ตัวต่อวัน มีกำลังผลิตเนื้อได้มากกว่า 130 ตันต่อวัน หรืออีกความเชื่อหนึ่งก็ว่าทิศตะวันตกหมายถึงหนทางไปสู่การเกิดใหม่ของบรรดาสัตว์ต่างๆ
โรงฆ่าสัตว์แห่งนี้เลิกกิจการไปเมื่อในยุค 1960s ต่อมาก็กลายเป็นโกดังและโรงงานยา จากนั้นก็ปล่อยให้รกร้างไปอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งปี 2008 เซี่ยงไฮ้มีแนวคิดจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอาคารนี้ใหม่เพื่อให้กลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์และแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ มีการเพิ่มเติมลิฟต์แก้วเพื่อโดยสาร ทำให้มีสำนักงานออกแบบ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ แกลเลอรี่ กระทั่งโรงหนังขนาดเล็กมาเปิดให้บริการที่นี่ โดยโถงกลางอาคารก็ปล่อยโล่งคล้ายห้องบอลรูมขนาดใหญ่ และหลายๆ ครั้งก็เคยเป็นสถานที่จัดอีเว้นท์เก๋ๆ อย่างการเปิดตัวสินค้ารถเฟอร์รารี (Ferrari) เบนซ์ (Benz) และไนกี้ (Nike) มาแล้ว
นอกเหนือจากเสน่ห์ของงานสถาปัตยกรรมที่ทำให้ได้รับรางวัลอาคารประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นของเมืองเซี่ยงไฮ้แล้วแสงเงาที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลาแต่ละมุมที่เดิน(หลง)ผ่านสร้างความรู้สึกประหลาดใจให้ได้เสมอ กระทั่งความใหญ่โตที่แอบซ่อนอารมณ์ลึกลับชวนจินตนาการผ่านเรื่องราวในอดีต ผ่านถนนและคูคลองของชุมชนบ้านเก่าสไตล์เซี่ยงไฮ้แท้ ๆ แสนสงบ ไม่มีกลิ่นคาวเลือด ไม่มีเสียงโหยหวนของสัตว์อีกแล้ว เพราะเมื่อคุณมาถึงจะพบว่ามันกลายเป็นสถานที่หนึ่งซึ่งน่าค้นหาและรวบรวมความสนใจของคนรุ่นใหม่เข้าไว้ด้วยกัน อยากแนะนำหากได้มาที่นี้ อยากให้ลองหยุดเดิน ยืนนิ่ง ๆ หลีกหนีภาพความวุ่นวายของตัวเมือง สังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ผ่านทางเดินวนเวียนและขั้นบันไดของสะพานที่พาดไปมา คล้ายกับภาพวาดของบทละครเล็ก ๆ ซึ่งถูกแต่งเติมด้วยเสียงอึกทึกของผู้คน วิถีชีวิตต่าง ๆ ที่กำลังบรรเลงอยู่ด้านบน ร้านค้าขายซิการ์ ร้านอาหาร ไปจนถึงอะควาเรียมทำเองในห้องเล็กๆ ที่มีแต่ตู้ปลา ภายใต้ฉากหลังของอดีตโครงสร้างอาคารที่เคร่งขรึม เมื่อความมืดผ่านพ้นไป แสงแดดของวันใหม่เข้ามาเปลี่ยนอาคารนี้ไปอย่างสิ้นเชิงในฐานะของโรงฆ่าสัตว์ จากเสียงกรีดร้องกลายเป็นเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่วิ่งไปตามพื้นคอนกรีต เสียงก้องกังวาลบนกำแพงที่โชกเลือด ย้อมสีเป็นแสงไฟ ก็เป็นสัญญาณว่าได้เวลาดื่มกาแฟสักแก้วแล้ว

ส่วนหนึ่งของโครงการ Living Water ครั้งที่ 2 Architectural Interventions of the Canals City in Suzhou จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 ถึง 3 มิถุนายน 2568 ณ เมืองซูโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ความร่วมมือระหว่างคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ Xi’an Jiaotong-Liverpool University (XJTLU) ได้รับทุนจาก คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ KUSCI สำหรับนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ