พาเดิน Edo-Tokyo Open Air Architectural Museum
น.ส.รวิภา เชิดธรรมธร
หนึ่งในสถานที่สำคัญที่ถูกเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้และศึกษาสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นในเวิร์กช็อปครั้งนี้คือ Edo-Tokyo Open Air Architectural Museum หรือ พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมกลางแจ้งเอโดะ–โตเกียว พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะกว้างใหญ่ Koganei Park ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่สีเขียวที่สำคัญของกรุงโตเกียว การเดินทางไม่ยาก ใช้เวลาเพียงประมาณครึ่งชั่วโมงจากใจกลางเมืองด้วยรถไฟ และต่อรถบัสเพียงระยะสั้น ๆ ก็ถึงทางเข้าสวน เมื่อมาถึง สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือบรรยากาศร่มรื่นของสวนสาธารณะ รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่และเส้นทางเดินที่เงียบสงบ การเดินผ่านสวนเพื่อไปยังอาคารหลักของพิพิธภัณฑ์จึงให้ความรู้สึกเหมือนการค่อย ๆ เปลี่ยนบรรยากาศจากความเร่งรีบของมหานครโตเกียว มาสู่พื้นที่แห่งความสงบที่พร้อมจะพาผู้มาเยือนได้ย้อนเวลาไปสู่โลกของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นในอดีต


เมื่อเดินลึกเข้าไปในสวน Koganei Park เส้นทางร่มรื่นที่โอบล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่จะนำไปสู่ อาคารหลักของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเดิมเคยเป็นพระราชวัง Kokaden อาคารเก่าแก่ที่ได้รับการปรับปรุงให้กลายเป็นศูนย์ต้อนรับนักท่องเที่ยวและผู้มาเยี่ยมชม บรรยากาศด้านหน้าสง่างามและเงียบสงบ ชวนให้รู้สึกว่ากำลังก้าวเข้าสู่พื้นที่ที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ภายในอาคารหลักมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เริ่มจากเคาน์เตอร์ซื้อตั๋วที่จัดอย่างเป็นระเบียบ มีเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ บริเวณเดียวกันยังมีพื้นที่พักผ่อนที่กว้างขวาง จุดเติมน้ำดื่ม ห้องน้ำสะอาด รวมถึงร้านขายของที่ระลึกซึ่งรวบรวมสินค้าเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมญี่ปุ่น ราคาตั๋วเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่เพียง 400 เยน หรือประมาณ 87 บาท ถือว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้สัมผัสภายใน ไฮไลท์ของพื้นที่ต้อนรับคือการจัดแสดง โมเดลจำลองอาคารสำคัญภายในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งทำให้ผู้มาเยือนมองเห็นภาพรวมได้ตั้งแต่ก่อนออกไปเดินชมจริง ๆ โมเดลเหล่านี้ช่วยให้เข้าใจว่าอาคารแต่ละหลังตั้งอยู่ในโซนใด มีประวัติความเป็นมาอย่างไร และควรเลือกเส้นทางการเดินชมแบบไหน บรรยากาศในพื้นที่นี้จึงเป็นเหมือน “จุดเริ่มต้นของการเดินทางย้อนเวลา” ที่จะพาผู้เข้าชมไปสำรวจสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นในหลายยุคสมัย

การก่อตั้ง Edo-Tokyo Open Air Architectural Museum เกิดจากความตระหนักถึงความเปราะบางของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยเอโดะ โตเกียวในฐานะเมืองใหญ่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมหลายครั้ง ทั้งไฟไหม้ น้ำท่วม แผ่นดินไหว และสงคราม อาคารทางประวัติศาสตร์จำนวนมากที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของเมืองและเป็นหลักฐานทางวัฒนธรรมค่อย ๆ สูญสลายไปตามกาลเวลา แม้แต่ในยุคปัจจุบัน อาคารที่ยังเหลืออยู่ก็เสี่ยงต่อการถูกรื้อถอนเพราะการพัฒนาเมืองและความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ รัฐบาลกรุงโตเกียวจึงริเริ่มแนวคิดสร้างพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งขึ้น และในปี ค.ศ. 1993 ได้เปิด พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมกลางแจ้งเอโดะ–โตเกียว อย่างเป็นทางการ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 7 เฮกตาร์ หรือราว 70,000 ตารางเมตร ภารกิจหลักคือการ ย้าย บูรณะ อนุรักษ์ และจัดแสดงอาคารทางประวัติศาสตร์ที่ไม่สามารถรักษาไว้ในสถานที่เดิม ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งในพื้นที่ใหม่ เพื่อให้ผู้คนสามารถเรียนรู้มรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้อย่างใกล้ชิด
พิพิธภัณฑ์แบ่งออกเป็น 3 โซนใหญ่ ๆ ได้แก่
- West Zone จัดแสดงบ้านเรือนและที่พักอาศัยตั้งแต่สมัยเอโดะไปจนถึงยุคใหม่ ให้เห็นวิวัฒนาการของการใช้ชีวิต
- Center Zone รวบรวมอาคารทางประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญ เช่น Jisho-in Mausoleum ซึ่งมีรากฐานทางศาสนาและการเมือง
- East Zone ถ่ายทอดวิถีชีวิตเมืองโตเกียวในสมัยก่อน ผ่านอาคารจำลอง ร้านค้า และโรงอาบน้ำสาธารณะแบบดั้งเดิม
ด้วยการจัดวางพื้นที่เช่นนี้ พิพิธภัณฑ์ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่เก็บอาคารเก่า แต่ทำหน้าที่เป็น “เมืองจำลองทางสถาปัตยกรรม” ที่ผู้มาเยือนสามารถเดินชมและสัมผัสประสบการณ์ได้เหมือนกำลังย้อนเวลากลับไปในประวัติศาสตร์จริง ๆ

House of Kunio Mayekawa




บ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1942 ที่เมือง Kami-osaki เขต Shinagawa โดยออกแบบโดย Kunio Mayekawa หนึ่งในสถาปนิกญี่ปุ่นคนสำคัญผู้มีบทบาทในการผลักดัน modern architecture เข้าสู่สังคมญี่ปุ่น เขาเป็นลูกศิษย์ของ Le Corbusier และเคยร่วมงานกับ Antonin Raymond จึงได้รับอิทธิพลจากแนวคิดสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ผสมผสานฟังก์ชัน ความเรียบง่าย และความสอดคล้องกับบริบทแวดล้อม บ้านหลังนี้สร้างขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นเวลาที่ทรัพยากรและวัสดุในการก่อสร้างขาดแคลนอย่างมาก ส่งผลให้การออกแบบต้องคำนึงถึงความประหยัดและการใช้วัสดุที่หาได้ง่าย แต่แม้จะอยู่ในเงื่อนไขจำกัด Mayekawa ก็สามารถออกแบบบ้านที่สะท้อนจิตวิญญาณของความเรียบง่ายและความสงบได้อย่างงดงาม โครงสร้างโดยรวมของบ้านใช้หลังคาจั่วแบบญี่ปุ่นที่คุ้นตา แต่ภายในถูกจัดวางอย่างมีประสิทธิภาพ พื้นที่ส่วนตัว เช่น ห้องทำงานและห้องนอน ถูกออกแบบให้กะทัดรัดและใช้งานได้จริง ขณะที่โถงกลางของบ้านถูกใช้เป็น ห้องนั่งเล่น ทำหน้าที่เป็นหัวใจของบ้าน เป็นพื้นที่ที่ครอบครัวสามารถมาพบปะ พูดคุย และใช้เวลาร่วมกัน การออกแบบนี้สะท้อนแนวคิดสถาปัตยกรรมที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับพื้นที่มากกว่าความหรูหรา ความสำคัญของบ้านหลังนี้ไม่ได้อยู่เพียงแค่การเป็นที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นหลักฐานทางสถาปัตยกรรมที่บอกเล่าเรื่องราวของญี่ปุ่นในช่วงสงคราม การต่อสู้กับข้อจำกัด และการสร้างความงามผ่านความเรียบง่าย บ้านของ Kunio Mayekawa จึงกลายเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นการปรับตัวของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ได้อย่างชัดเจน
House of Okawa in Den’enchofu

บ้านหลังนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1925 ที่ย่าน Den’enchofu เขต Ota หนึ่งในพื้นที่อยู่อาศัยใหม่ของโตเกียวที่เกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ย่าน Den’enchofu ได้รับการพัฒนาโดยได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิด Garden City Movement ของอังกฤษ ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างเมืองที่อยู่อาศัยท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เขียวชอุ่ม เป็นชานเมืองที่ผสมผสานความสะดวกสบายกับคุณภาพชีวิตที่ดี บ้านในย่านนี้จึงมักสะท้อนรสนิยมของชนชั้นกลางและชนชั้นสูงที่กำลังเติบโตในยุคเมจิถึงไทโช บ้าน Okawa สร้างขึ้นในยุคที่ญี่ปุ่นกำลังเปิดรับอิทธิพลตะวันตกอย่างกว้างขวาง ภายในถูกออกแบบโดยจัดห้องรับประทานอาหาร ห้องนอน และห้องทำงานให้ล้อมรอบ ห้องนั่งเล่นกลางบ้าน ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมกิจกรรมของครอบครัว การจัดวางเช่นนี้สะท้อนแนวคิดสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกที่เน้นพื้นที่ส่วนกลางสำหรับการใช้ชีวิตร่วมกัน แตกต่างจากบ้านญี่ปุ่นดั้งเดิมที่มักใช้ห้องเสื่อทาทามิอเนกประสงค์ในการรวมสมาชิกในครอบครัว
สิ่งที่โดดเด่นคือ การออกแบบในสไตล์ตะวันตก ซึ่งถือว่าหาได้ยากในสมัยนั้น เพราะสังคมญี่ปุ่นยังคงใช้สถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมเป็นหลัก การเลือกสร้างบ้านในลักษณะนี้จึงสะท้อนถึงความเป็นสมัยใหม่ ความมั่งคั่ง และการเปิดรับวัฒนธรรมต่างประเทศของเจ้าของบ้าน บ้านลักษณะนี้ยังบอกเล่าการเปลี่ยนผ่านของโตเกียวจากเมืองเก่าที่มีโครงสร้างแบบเอโดะ ไปสู่มหานครสมัยใหม่ที่เชื่อมโยงกับโลกตะวันตกมากขึ้น ดังนั้น บ้าน Okawa ไม่เพียงแต่เป็นตัวอย่างของบ้านพักอาศัยในยุคต้นสมัยใหม่ แต่ยังเป็นหลักฐานเชิงประวัติศาสตร์ที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวิถีชีวิตของผู้คนในโตเกียวช่วงทศวรรษที่ 1920 ได้อย่างชัดเจน
Jisho-in Mausoleum

สิ่งก่อสร้างแห่งนี้คือสุสานวัด Jisho-in ที่สร้างขึ้นโดย เจ้าหญิง Chiyo ภรรยาของขุนนาง Mitsumoto Tokugawa แห่งตระกูล Owari ซึ่งเป็นสายหนึ่งของตระกูลโทคุงาวะผู้ปกครองญี่ปุ่นในสมัยเอโดะ จุดประสงค์หลักในการสร้างคือเพื่อใช้ประกอบพิธีทางศาสนาและอุทิศแด่ Ofuri-no-kata มารดาของเจ้าหญิง Chiyo และภรรยาของโชกุนคนที่ 3 Tokugawa Iemitsu
สุสานแห่งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ฝังศพหรือประกอบพิธีกรรม แต่ยังเป็น หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนความสัมพันธ์ในตระกูลโชกุนโทคุงาวะ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเมืองและสังคมญี่ปุ่นในยุคเอโดะ การที่เจ้าหญิง Chiyo ลงมือสร้างสุสานนี้เอง แสดงให้เห็นถึงความกตัญญูต่อมารดาและความศรัทธาในศาสนาพุทธ รวมถึงการรักษาเกียรติของตระกูล ในเชิงสถาปัตยกรรม Jisho-in Mausoleum มีลักษณะสง่างามตามแบบฉบับสิ่งก่อสร้างทางศาสนาในยุคเอโดะ ใช้วัสดุไม้แกะสลักอย่างประณีตและมีการประดับลวดลายเชิงสัญลักษณ์ที่สะท้อนทั้งความงามและความศักดิ์สิทธิ์ ภายในบรรยากาศเงียบสงบ รายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ช่วยเพิ่มความขรึมขลัง ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกถึงความศรัทธาและความเป็นนิรันดร์ การได้เห็นสุสานแห่งนี้ภายในพิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมกลางแจ้งเอโดะ–โตเกียว จึงไม่เพียงทำให้เข้าใจสถาปัตยกรรมเชิงศาสนา แต่ยังช่วยให้มองเห็นภาพความสัมพันธ์ของบุคคลสำคัญในตระกูลโทคุงาวะ และความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายในสังคมญี่ปุ่นสมัยเอโดะอย่างลึกซึ้ง
House of Korekiyo Takahashi

บ้านหลังนี้คืออาคารหลักของบ้านพักของ Korekiyo Takahashi นักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลของญี่ปุ่นที่มีบทบาทสำคัญตั้งแต่สมัยเมจิจนถึงต้นสมัยโชวะ Takahashi เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “Keynes แห่งญี่ปุ่น” เนื่องจากเขาใช้แนวคิดเศรษฐกิจแบบกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐมาช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจญี่ปุ่นหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลก (Great Depression) ในปี ค.ศ.1929 ตัวบ้านสร้างขึ้นด้วยไม้สนเฮมล็อกทั้งหลัง ออกแบบให้เรียบง่ายแต่แข็งแรง ภายในประกอบด้วยห้องรับประทานอาหารที่ปูด้วยพื้นปาร์เกต์ซึ่งสะท้อนความเป็นตะวันตก และชั้นสองที่จัดเป็นห้องทำงานและห้องนอนของ Takahashi การจัดพื้นที่แสดงถึงการใช้ชีวิตของชนชั้นนำญี่ปุ่นในยุคที่กำลังผสมผสานวัฒนธรรมญี่ปุ่นดั้งเดิมเข้ากับอิทธิพลตะวันตก
อย่างไรก็ตาม ความสำคัญของบ้านหลังนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องสถาปัตยกรรม แต่ยังเป็นสถานที่ที่บันทึกเหตุการณ์ทางการเมืองครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น นั่นคือ เหตุการณ์กบฏทหาร 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1936 (Ni-ni-roku Jiken) ซึ่งกลุ่มนายทหารหนุ่มได้ก่อรัฐประหารพยายามยึดอำนาจการปกครอง Takahashi ซึ่งในขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถูกลอบสังหารภายในห้องนอนของบ้านหลังนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางการเมืองและเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง การได้เห็นบ้านของ Takahashi ภายในพิพิธภัณฑ์จึงไม่ใช่เพียงการชมอาคารไม้ที่สวยงาม แต่ยังเป็นการสัมผัส “พยานประวัติศาสตร์” ที่สะท้อนทั้งชีวิตส่วนตัวและความผันผวนทางการเมืองของญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 20
Public bathhouse “Kodakara-yu”

อาคารหลังนี้คือโรงอาบน้ำสาธารณะแบบดั้งเดิมของโตเกียว หรือที่เรียกว่า เซ็นโต (Sento) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหัวใจสำคัญของวิถีชีวิตคนเมืองญี่ปุ่น ก่อนที่การมีห้องน้ำและห้องอาบน้ำส่วนตัวในครัวเรือนจะกลายเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่โดดเด่นของโรงอาบน้ำแห่งนี้คือ การออกแบบที่หรูหราทั้งภายในและภายนอก สะท้อนถึงความสำคัญของเซ็นโตที่ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ทำความสะอาดร่างกาย แต่ยังเป็นพื้นที่พบปะทางสังคมของผู้คนในชุมชน ด้านนอกอาคารประดับด้วย หลังคาจั่วแบบ Karahafu ซึ่งเป็นองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่มักพบในวัดหรือศาลเจ้า การนำรูปแบบนี้มาใช้กับโรงอาบน้ำจึงสื่อถึงความศักดิ์สิทธิ์และความสง่างาม สร้างความรู้สึกว่าแม้จะเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่การอาบน้ำก็คือพิธีกรรมที่ช่วยชำระล้างทั้งกายและใจ นอกจากนี้ เหนือทางเข้ายังมี รูปแกะสลักเทพเจ้าแห่งโชคลาภทั้ง 7 (Shichifukujin) ที่เชื่อว่าจะนำความมั่งคั่ง ความสุข และการคุ้มครองมาสู่ผู้ที่มาใช้บริการ
ภายในอาคารก็ไม่แพ้กัน บริเวณห้องแต่งตัวถูกตกแต่งด้วย เพดานระแนงไม้ ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย การจัดแสงที่ลอดผ่านระแนงไม้ช่วยสร้างบรรยากาศสงบและสบาย เหมาะกับการพักผ่อนก่อนหรือหลังการอาบน้ำ ในโถงอาบน้ำยังมีการใช้กระเบื้องลวดลายดั้งเดิมและการแบ่งโซนอย่างชัดเจน ซึ่งแสดงถึงการจัดการพื้นที่ที่ใส่ใจทั้งฟังก์ชันและความงาม โรงอาบน้ำ “Kodakara-yu” จึงไม่ใช่เพียงอาคารสำหรับการทำความสะอาดร่างกาย แต่เป็น พื้นที่ชุมชน ที่ผู้คนได้มาพบปะ พูดคุย และสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม การได้เห็นอาคารนี้ในพิพิธภัณฑ์คือการย้อนกลับไปสัมผัสวิถีชีวิตของชาวโตเกียวในอดีต ที่ซึ่งสถาปัตยกรรม ศิลปะ และวัฒนธรรมถูกผสานเข้ากับชีวิตประจำวันอย่างลงตัว

อาคารทางซ้าย House of Uemura
อาคารทางด้านขวาคือ House of Uemura ซึ่งโดดเด่นด้วย ผนังด้านหน้าที่บุด้วยทองแดง วัสดุที่มักใช้เป็นเอกลักษณ์ของ Kanban หรือป้ายหน้าร้านในสมัยโชวะตอนต้น การบุทองแดงทำให้หน้าร้านมีความทนทานต่อสภาพอากาศ และยังให้ความเงางามที่สะท้อนแสงแดดในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างมีเสน่ห์ ภายนอกของอาคารออกแบบด้วยสไตล์ตะวันตกที่กำลังได้รับความนิยมในญี่ปุ่นยุคนั้น แสดงถึงความทันสมัยและการเปิดรับวัฒนธรรมต่างประเทศ แต่เมื่อมองขึ้นไปที่ ชั้นสอง กลับเห็นการใช้โครงสร้างและรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างเก่าและใหม่ ตะวันออกและตะวันตก ได้อย่างน่าสนใจ
อาคารถัดไป “Yamatoya Store” Grocery Store
ทางด้านซ้ายคือ Yamatoya Store ร้านขายของชำซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1928 ที่ย่าน Shirokanedai เขต Minato อาคารไม้สูง 3 ชั้นหลังนี้ถือว่าเป็น อาคารพิเศษที่หาได้ยาก เนื่องจากด้านหน้ามีความสูงเกินสัดส่วนของ Kanban หรือป้ายหน้าร้านทั่วไป อีกทั้งยังมีการใช้ คานยื่นแบบดั้งเดิม (dashige-ta-zukuri) ที่ชั้นสาม ซึ่งเป็นเทคนิคสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นเก่าแก่ ทำให้ร้านนี้มีเอกลักษณ์ทางรูปทรงแตกต่างจากอาคารพาณิชย์ทั่วไปในยุคนั้น ภายใน Yamatoya Store ยังคงเก็บรักษาบรรยากาศของร้านขายของชำในช่วงก่อนสงครามโลกเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ผู้มาเยือนสามารถเห็นการจัดวางชั้นไม้ ตู้เก็บสินค้า และบรรยากาศของการค้าขายในแบบดั้งเดิม การเดินเข้าไปในร้านเปรียบเสมือนการย้อนเวลากลับไปสัมผัสชีวิตประจำวันของผู้คนในโตเกียวช่วงทศวรรษ 1920–1930
อาคารทางขวา “Maruni Shoten” Kitchenware Store
ร้านขายของใช้ในครัวเรือนแห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงต้นยุคโชวะ (ค.ศ. 1926–1931) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โตเกียวกำลังปรับตัวเข้าสู่ความเป็นเมืองสมัยใหม่หลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโต (ค.ศ. 1923) อาคารพาณิชย์หลายแห่งถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยความแข็งแรงและความพิถีพิถันมากขึ้น โดย Maruni Shoten เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนรสนิยมและเทคนิคการก่อสร้างยุคนั้นได้อย่างชัดเจน จุดเด่นที่สุดของอาคารคือ ผนังด้านหน้าที่บุด้วยแผ่นทองแดงขนาดเล็ก ซึ่งถูกเรียงต่อกันอย่างประณีต วัสดุทองแดงนี้ไม่เพียงให้ความทนทานต่อสภาพอากาศ แต่ยังสร้างผิวสัมผัสและโทนสีที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทำให้ตัวอาคารมีชีวิตชีวาและแสดงร่องรอยของกาลเวลา (patina) อย่างงดงาม เป็นเอกลักษณ์ที่ช่วยให้ร้านนี้แตกต่างจากอาคารพาณิชย์ทั่วไปในสมัยเดียวกัน เมื่อก้าวเข้าสู่ภายในร้าน ผู้มาเยือนจะได้สัมผัสกับ บรรยากาศการค้าขายในช่วงทศวรรษ 1930 ที่ยังคงถูกจำลองไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งการจัดเรียงสินค้าในตู้ไม้ ชั้นวางของ และพื้นที่สำหรับลูกค้าที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตคนเมืองโตเกียวในยุคโชวะตอนต้น กลิ่นอายของความเป็น “ร้านของใช้ในครัวเรือน” ถูกเก็บรักษาไว้อย่างครบถ้วน ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปช้อปปิ้งในอดีต ภายหลัง ตัวอาคารพักอาศัยของเจ้าของร้านได้ถูกย้ายมาสร้างต่อเชื่อมไว้ด้านหลังร้าน เพื่อสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่าง “พื้นที่ค้าขาย” กับ “พื้นที่อยู่อาศัย” ของครอบครัวเจ้าของร้านในสมัยนั้น ซึ่งเป็นรูปแบบที่พบได้ทั่วไปในเมืองใหญ่ของญี่ปุ่น อาคารนี้จึงเป็นมากกว่าร้านค้า แต่ยังเป็นตัวแทนของวิถีชีวิตครอบครัวชาวเมืองที่ผูกพันกับกิจการค้าขายของตนเอง ดังนั้น Maruni Shoten ไม่เพียงบอกเล่าเรื่องราวของร้านขายเครื่องครัว แต่ยังสะท้อนถึง วัฒนธรรมการค้าปลีก ความเป็นอยู่ และการพัฒนาเมืองโตเกียวในยุคโชวะตอนต้น ได้อย่างลึกซึ้ง
City train model 7500 (สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1962)

รถรางสายนี้ หรือ รถรางรุ่น 7500 เคยเป็นหนึ่งในระบบคมนาคมสำคัญของกรุงโตเกียวในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 โดยเปิดให้บริการเชื่อมพื้นที่หลักของเมืองจากสถานี Shibuya ไปยัง Shinbashi, Hamacho-nakanohashi และ Suda-cho (Kanda) เส้นทางดังกล่าวถือว่าเป็นสายที่คึกคักและมีบทบาทสำคัญต่อการเดินทางในชีวิตประจำวันของชาวเมือง เพราะเชื่อมต่อทั้งย่านการค้า ย่านธุรกิจ และย่านที่พักอาศัยเข้าด้วยกัน อย่างไรก็ตาม ในทศวรรษ 1960 โตเกียวเข้าสู่ยุคของความทันสมัย ระบบถนนและยานพาหนะสมัยใหม่ โดยเฉพาะรถยนต์และรถไฟใต้ดิน เริ่มเข้ามามีบทบาทแทนที่ ทำให้รถรางหลายสายถูกยกเลิกการใช้งาน และในปี ค.ศ. 1963 รถรางรุ่น 7500 ก็เริ่มทยอยหายไปจากท้องถนนโตเกียว ทิ้งไว้เพียงร่องรอยความทรงจำของเมืองในอดีต ถึงกระนั้น รถรางรุ่นนี้ยังคงมีให้บริการอยู่บน สาย Arakawa หรือที่รู้จักกันในชื่อ Toden Arakawa Line ซึ่งเป็นสายรถรางเพียงไม่กี่สายที่รอดพ้นการยกเลิก และยังคงเปิดให้ประชาชนได้ใช้บริการมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้รถรางรุ่น 7500 กลายเป็นเสมือน “พยานทางประวัติศาสตร์” ของระบบขนส่งสาธารณะญี่ปุ่น การได้เห็น โมเดลรถราง 7500 ภายในพิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมกลางแจ้งเอโดะ–โตเกียว จึงไม่ใช่แค่การชื่นชมยานพาหนะเก่าแก่ แต่ยังเป็นการรำลึกถึงบรรยากาศของโตเกียวในยุคที่รถรางเคยแล่นไปตามถนนใหญ่ เสียงระฆังเตือนดังเคียงคู่กับเสียงจอแจของผู้คน ภาพเหล่านี้สะท้อนถึงวิถีชีวิตเมืองที่ผูกพันกับระบบคมนาคมแบบดั้งเดิมก่อนที่มหานครโตเกียวจะพัฒนาเป็นเมืองสมัยใหม่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมกลางแจ้งเอโดะ–โตเกียวจึงไม่ใช่เพียงสถานที่สำหรับเก็บรักษา บูรณะ และอนุรักษ์อาคารที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็น คลังความทรงจำของเมืองและผู้คน ที่บันทึกวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นในแต่ละยุคสมัยไว้อย่างมีชีวิตชีวา อาคารทุกหลังที่ถูกย้ายและจัดแสดง ณ ที่นี่ไม่ได้มีค่าเพียงด้านกายภาพ แต่ยังบรรจุเรื่องราวของผู้อยู่อาศัย ความเปลี่ยนแปลงของสังคม และความพยายามในการรักษาอัตลักษณ์ท่ามกลางกระแสสมัยใหม่
การเดินชมพิพิธภัณฑ์จึงเปรียบเสมือนการ เดินทางย้อนเวลา ผู้มาเยือนได้เรียนรู้ทั้งรูปแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิม การผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตก และการพัฒนาเมืองโตเกียวจากยุคเอโดะสู่ยุคโชวะไปจนถึงปัจจุบัน ความงดงามเหล่านี้ไม่เพียงปลุกให้ผู้ชมเห็นคุณค่าของมรดกสถาปัตยกรรม แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความตระหนักในการอนุรักษ์สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในสังคมปัจจุบัน สำหรับนักศึกษาและผู้เข้าร่วมเวิร์กช็อป การได้ลงพื้นที่เรียนรู้จริงถือเป็นประสบการณ์ล้ำค่า ภาพสเก็ตช์ที่สร้างขึ้นจากการเดินชมพิพิธภัณฑ์ไม่เพียงบันทึกสิ่งที่ตาเห็น แต่ยังสะท้อนการตีความและความประทับใจส่วนตัวที่มีต่ออาคารแต่ละหลัง ผลงานเหล่านี้จึงกลายเป็นหลักฐานร่วมสมัยที่เชื่อมโยงระหว่างสถาปัตยกรรมในอดีตกับการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ได้อย่างงดงาม
ส่วนหนึ่งของโครงการ โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ Global Problem Based Learning (gPBL) in Tokyo ร่วมกับมหาวิทยาลัย Shibaura Institute of Technology จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2568 ณ มหานครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้รับทุนจาก คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัย Shibaura Institute of Technology