สวนโบราณแห่งซูโจว
สุรีรัตน์ แสนคำ
การเปิด “โลกทัศน์แบบจีน” ผ่านองค์ประกอบทางกายภาพ สุนทรียภาพ สถาปัตยกรรม และปรัชญาที่สะท้อนอยู่ในพื้นที่สวนเหล่านี้ไม่ใช่แค่การชมความสวยงามเท่านั้นแต่ยังเป็นการเรียนรู้แนวคิดของจีนเกี่ยวกับความกลมกลืนระหว่างคนกับธรรมชาติซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบสวนของจีน โดยสวนในเมืองซูโจวที่ UNESCO ยกให้เป็นแบบจำลองธรรมชาติที่แสดงถึงแนวคิดของจีนได้อย่างเด่นชัด คือ
Humble Administrator’s Garden
Lingering Garden
Master of the Nets Garden
Lion Grove Garden
ต่างมีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่ราชวงศ์หมิงและชิง และได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง เป็นตัวอย่างที่ดีของการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการพื้นที่แสดงถึงความเชื่อมโยงระหว่างวัฒนธรรม ปรัชญา และการออกแบบเพื่อสะท้อนความสามารถในการควบคุมสุนทรียภาพผ่านการจัดองค์ประกอบทางกายภาพ
สวนไม่ใช่เพียงพื้นที่สีเขียว แต่คือแบบจำลองของธรรมชาติ
สวนในซูโจวสะท้อนแนวคิดเรื่อง “ความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ” (天人合一) อันเป็นหนึ่งในหลักสำคัญของปรัชญาเต๋า โดยใช้การจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ ในสวน เช่น น้ำ ก้อนหิน อาคาร และต้นไม้ เพื่อสื่อสารความหมายเชิงนามธรรม เช่น ก้อนหิน เปรียบได้กับภูเขา สื่อถึงความมั่นคงและจิตใจที่แน่วแน่ น้ำ แทนความอ่อนโยน ปรับสมดุลภายในพื้นที่ สร้างความสงบ พรรณไม้ ถูกเลือกให้เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล เพื่อสะท้อนกาลเวลาและวัฏจักรของชีวิตสวนจึงไม่ใช่เพียงพื้นที่สำหรับการพักผ่อนอย่างเดียว แต่เป็นพื้นที่สำหรับการเรียนรู้ของนักศึกษา นักเรียน นักท่องเที่ยวได้ด้วย

ศิลปะแห่งการกำกับมุมมอง
สิ่งที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากสังเกตได้ คือ การจัดวางทางเดิน อาคาร และทิวทัศน์อย่างรอบคอบ เพื่อควบคุมมุมมองและจังหวะการรับรู้ทางเดินที่คดเคี้ยวมีจุดประสงค์เพื่อชะลอการเดิน ให้เกิดการรับรู้เชิงลึกต่อพื้นที่หน้าต่างฉลุหรือช่องเปิดที่อยู่บนกำแพง สร้างมุมมองที่หลากหลายให้กับผู้คนที่อยู่ภายในการซ่อนมุมมองบางส่วน (hide and reveal) ช่วยให้ความรู้สึกอยากค้นหาและเพิ่มจินตนาการของผู้เดินชมการเคลื่อนไหวภายในสวนเปรียบเสมือนการอ่านบทกวีหรือการเดินทางภายในจิตใจ ซึ่งเป็นแนวคิดที่แตกต่างจากการออกแบบสวนตะวันตกที่มักเน้นความสมมาตรและการโชว์ภาพรวม

สถาปัตยกรรมในสวน
อาคารต่าง ๆ ภายในสวน เช่น ศาลา ทางเดินมีหลังคา และศาลาบนสระน้ำ ล้วนถูกออกแบบโดยคำนึงถึงบริบทของธรรมชาติการเลือกใช้วัสดุท้องถิ่นอย่างไม้ ไม้ไผ่ และกระเบื้องสีเทาเข้ม ทำให้สถาปัตยกรรมดูกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมสัดส่วนของอาคารมักมีขนาดเล็ก เรียบง่าย และไม่บดบังทัศนียภาพของสวนการ
จัดวางตำแหน่งอาคารสัมพันธ์กับองค์ประกอบทางธรรมชาติ เช่น น้ำและภูเขาจำลอง โดยยึดตามหลักฮวงจุ้ย สถาปัตยกรรมถูกสร้างขึ้นเพื่อเน้นอำนาจและความยิ่งใหญ่ด้วยการตกแต่งภายใน ส่วนภายนอกมีการใช้วัสดุธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสวนหนึ่งกับสวนและธรรมชาติรอบข้าง

พิพิธภัณฑ์ซูโจว (Suzhou Museum) เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการนำแนวคิดและจิตวิญญาณของสวนซูโจวแบบดั้งเดิมมาตีความใหม่ด้วยมุมมองร่วมสมัย โดยสถาปนิกผู้ออกแบบคือ I. M. Pei สถาปนิกระดับโลกซึ่งเป็นคนซูโจว เขาได้นำความทรงจำในวัยเด็กและความเข้าใจลึกซึ้งต่อสวนโบราณมาผสมผสานกับสถาปัตยกรรมยุคใหม่อย่างกลมกลืน
การออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสวนคลาสสิกซูโจว
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ใช้เส้นสายเรขาคณิตที่เรียบง่าย คล้ายกับองค์ประกอบของสวนโบราณ ทั้งการจัดวางพื้นที่ คล้ายกับประสบการณ์การเดินชมสวน
แนวคิด “ความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ”
เช่นเดียวกับสวนซูโจว พื้นที่ภายในพิพิธภัณฑ์ถูกออกแบบให้มีแสงธรรมชาติ ไหลเวียนของอากาศ น้ำ และพรรณไม้ ซึ่งช่วยสร้างความสงบและสมดุล ในพิพิธภัณฑ์ยังคงแนวทางของการ “เปิดบางส่วน–ซ่อนบางส่วน” (hide and reveal) เช่นเดียวกับสวนดั้งเดิม เพื่อกระตุ้นความอยากค้นหาและการเชื่อมโยงทางอารมณ์ระหว่างผู้ชมกับพื้นที่
การเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมสวนเหล่านี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เชิงเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างความเข้าใจต่อ รากวัฒนธรรม และความคิดของสังคมจีนในอดีตสวนในซูโจวคือมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นพื้นที่ ที่เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และเวลา ผ่านงานออกแบบที่สะท้อนความลึกซึ้งของวิธีคิดแบบตะวันออก
ส่วนหนึ่งของโครงการ Living Water ครั้งที่ 2 Architectural Interventions of the Canals City in Suzhou จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 ถึง 3 มิถุนายน 2568 ณ เมืองซูโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ความร่วมมือระหว่างคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ Xi’an Jiaotong-Liverpool University (XJTLU) ได้รับทุนจาก คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ KUSCI สำหรับนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ