Jinze Ancient Town Living with Water, Water Lives with Us
วรกมล วรดำรง
การได้ไปเยือนเมืองโบราณจินเจ๋อ (Jinze Ancient Town) ในเขตชิงผู่ (Qingpu) ของเซี่ยงไฮ้ ท้องฟ้าสะท้อนลงในผืนน้ำที่ทอดผ่านหมู่บ้านโบราณ และบ้านเรือนริมคลองยังคงรักษาสถาปัตยกรรมเก่า ๆ ไว้อย่างดี ทั้งหน้าต่างไม้ ประตูเก่า และสะพานหินโค้งเมื่อหลายร้อยปีก่อน บรรยากาศเงียบ สงบ เดินไปตามทางก็จะเห็นชาวบ้านนั่งคุยกันหน้าบ้าน มีร้านค้าเล็กๆ เปิดขายของแบบเรียบง่ายบางบ้านมีเรือผูกอยู่ริมคลอง เหมือนยังใช้จริงในชีวิตประจำวัน ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ถูกปรุงแต่งให้ดูย้อนยุค แต่มันดูเป็นที่ที่ผู้คนยังใช้ชีวิตร่วมกับน้ำอยู่จริงๆ แค่เดินดูรอบๆ ก็สัมผัสได้ถึงความผูกพันระหว่างคนกับพื้นที่นี้อย่างเป็นธรรมชาติ

การได้มาซูโจวในโอกาสที่ได้เข้าร่วมเวิร์กชอปว่าด้วยการจัดการน้ำและเมือง ทำให้เห็นว่า “เมืองน้ำ” ไม่ได้หมายถึงเมืองที่มีน้ำขัง หรือแค่มีคลองตัดผ่านแต่มันหมายถึง เมืองที่คนใช้ชีวิตกับน้ำอย่างกลมกลืน ไม่เร่ง ไม่รีบ ไม่ฝืน ไม่แบ่งแยกจากกัน คลองสายเล็ก ๆ ค่อย ๆ ไหลผ่านเมือง ผู้คนยังคงใช้ท่าน้ำในการดำเนินชีวิต เช่น การซักผ้า ตกปลา ทั้งยังมีเรือไม้จอดอยู่ใต้ระเบียงบ้าน ทั้งหมดนี้คือเมืองที่ให้น้ำได้ “อยู่” อีกสิ่งที่น่าสนใจคือเมืองไม่ได้พยายามพัฒนาไปข้างหน้าโดยทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง แต่กลับเลือกผสมผสานระบบเก่าที่เคยใช้ เข้ากับระบบเมืองใหม่ได้อย่างแนบเนียน บางพื้นที่มีระบบควบคุมน้ำสมัยใหม่ซ่อนอยู่หลังสถาปัตยกรรมโบราณที่ยังถูกรักษาไว้ ไม่ใช่แค่การอยู่ร่วมกับน้ำในเชิงวิถีชีวิตเท่านั้น แต่รวมถึงการออกแบบเมืองให้กับวัฏจักรของน้ำ เป็นเมืองที่ไม่เอาชนะน้ำ แต่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมัน

ได้ลองพายซับบอร์ดในคลองสายเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ ไหลผ่านเมืองไปเรื่อย ๆ บรรยากาศดีสุด ๆ

ภาพเหล่านี้ทำให้ย้อนนึกถึงอดีตของเมืองไทย เมื่อแม่น้ำลำคลองไม่ใช่เพียงเส้นทางระบายน้ำ แต่คือศูนย์กลางของชีวิต มีตลาดน้ำ บ้านใต้ถุนสูง วัดริมน้ำ และพื้นที่ถูกล้อมรอบด้วยน้ำ แต่ทุกวันนี้หลายคลองในกรุงเทพฯ กลับถูกปิด ถูกลดบทบาท น้ำกลายเป็นสิ่งที่เราต้องจัดการมากกว่าที่จะ “อยู่ร่วม” คลองบางคลองแห้งไป บางแห่งเน่าเสีย หรือถูกแปลงเป็นทางระบายน้ำด้วยท่อ รอรองรับน้ำเสีย แต่ละคลองที่ถูกปล่อยทิ้งให้เสื่อมโทรม ไม่เพียงแต่ทำลายภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิถีชีวิตดั้งเดิม แต่ยังส่งผลให้เมืองสูญเสียพื้นที่ สีเขียวและระบบนิเวศที่ช่วยปรับสมดุลน้ำและอากาศ การฟื้นฟูคลองจึงไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาน้ำเสียหรือการระบายน้ำ แต่เป็นการคืนชีวิตให้กับเมือง ให้ผู้คนกลับมาอยู่ร่วมกับน้ำเหมือนในอดีตอีกครั้ง

ซูโจวไม่ใช่เมืองที่ไม่มีน้ำท่วมแต่เมืองนี้เลือกจะรับน้ำไม่ใช่ต้าน เขามีการใช้แนวคิดเมืองฟองน้ำ (Sponge City) ในการปรับพื้นผิวเมืองให้ดูดซับน้ำได้ เปิดพื้นที่สีเขียวริมคลองให้ชุ่มน้ำ ไม่มีรั้วเหล็กกั้นน้ำไว้ แต่กลับมีขั้นบันไดเล็กๆ ที่ให้คนได้ใกล้กับน้ำ วิถีชีวิตแบบนี้สะท้อนถึงความเข้าใจระหว่างเมืองกับธรรมชาติ
แนวคิดเมืองฟองน้ำ (Sponge City)
หลักการของเมืองฟองน้ำคือการออกแบบเมืองให้สามารถดูดซับ หน่วง และกักเก็บน้ำได้ โดยใช้ธรรมชาติเข้าช่วย เช่น การปรับถนน ทางเท้า สวน และหลังคาให้สามารถซึมน้ำและชะลอการไหลของน้ำ รวมถึงช่วยทำความสะอาดน้ำก่อนปล่อยกลับสู่ระบบธรรมชาติ แนวคิดนี้จำลองวงจรน้ำในธรรมชาติและออกแบบเมืองให้ “อยู่ร่วม” กับน้ำอย่างยืดหยุ่น โดยเริ่มจากการเข้าใจบริบทพื้นที่และสาเหตุของปัญหา เช่น ฝนตกหนักหรือมรสุม เพื่อวางแผนจัดการน้ำฝนและนำน้ำกลับมาใช้ในระบบได้อย่างยั่งยืน


วิถีชีวิตของผู้คนที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติ
หากลองย้อนกลับมาดูบ้านเรา บางทีการอยู่กับน้ำไม่จำเป็นต้องย้อนยุค หรือย้อนอดีต แต่คือการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างเมืองกับน้ำขึ้นมาใหม่ เริ่มจากการมองน้ำในฐานะเพื่อนร่วมบ้าน ไม่ใช่แค่ปัญหาหรือภัยพิบัติที่เราต้องผลักออกไป และหากเรากลับมาให้พื้นที่กับน้ำ ให้โอกาสกับธรรมชาติเมืองไทยของเราอาจจะเย็นลงในวันที่ร้อนจัด น้ำแห้งช้าลงในวันที่ฝนตกหนัก และอบอุ่นขึ้นในวันที่ได้อยู่กับน้ำอีกครั้ง
ส่วนหนึ่งของโครงการ Living Water ครั้งที่ 2 Architectural Interventions of the Canals City in Suzhou จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 ถึง 3 มิถุนายน 2568 ณ เมืองซูโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ความร่วมมือระหว่างคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ Xi’an Jiaotong-Liverpool University (XJTLU) ได้รับทุนจาก คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ KUSCI สำหรับนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ